รัฐบาลไหวมั๊ย..สารพัดปัจจัยรุมเร้า!

08 ก.ค. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2568 | 00:42 น.

รัฐบาลไหวมั๊ย..สารพัดปัจจัยรุมเร้า! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • รัฐบาลกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา, การสูญเสียความเชื่อมั่นจากกรณีที่ศาลสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ และผลกระทบจากการที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราสูง
  • ประเทศไทยถูกสหรัฐ เรียกเก็บภาษีตอบโต้ ในอัตรา 36% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย และอาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศ
  • ผลกระทบจากภาษีจะส่งผลเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่ผู้ประกอบการ SMEs, กลุ่มเกษตรกรที่ส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป ไปจนถึงการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม และอาจทำให้หนี้ครัวเรือน เพิ่มสูงขึ้นจากกำลังซื้อที่ลดลง

*** ไม่ว่าจะเป็นการปิดด่านพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในจังหวัดในพื้นที่หลายจังหวัด ลามไปจนถึงกรณี “โอษฐภัย” ที่เป็นเหตุให้ตุลาการศาลธรรมนูญ มีมติสั่งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี

รวมไปถึงล่าสุด...กรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายมาเพื่อแจ้งว่า ประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 36% เท่ากับที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะ “ง่อนแง่น” จนเสี่ยงที่จะเกิดการถดถอย (Recession) ลงอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ประชาชน ขาดความเชื่อมั่นในฝีมือ และความเป็นมืออาชีพของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ต้องว่ากันถึงเรื่องที่ศาลสั่งให้นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ ...เพราะแม้ขณะนี้จะมีรองนายกรัฐมนตรีขยับขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทน แต่ผลต่อความเชื่อมั่น ความเป็นมืออาชีพ วิสัยทัศน์ และ การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ รวมไปเสถียรภาพในมุมมองของนักลงทุน ทั้งไทย และต่างประเทศ ก็ได้เสียหายไปแล้ว

สถานการณ์แบบนี้ใครจะเรียกว่า “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” ก็คงเรียกได้...ไม่ผิด!!!

ในส่วนของปัญหาปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่รัฐบาลควรทำ ก่อนที่จะลุกลามไปจนถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องของข้อพิพาทในเรื่องของพื้นที่ระหว่างพรมแดน ซึ่งไม่ควรจะถูกล้ำเส้นก็ตาม กรณีนี้เจ๊เมาธ์มองว่า ตราบใดที่ทั้งไทยและกัมพูชายังต้องค้าขายกัน ก็ยังคงสามารถแยกส่วนออกไปจากเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ และการค้าในพื้นที่ชายแดนได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลไกในการเจรจาปัญหา การสร้างข้อตกลงเพื่อกำหนดพื้นที่ปลอดทหาร 

หรือ หากจะมีการปิดด่านแบบถาวรกันจริงๆ รัฐบาลก็ควรจะมีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ แต่ไม่ควรปล่อยให้คาราคาซัง จนประชาชนและนักธุรกิจในเขตพื้นที่ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรเช่นนี้

ต่อมา คือ ปัญหาเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐฯ จะเรียกจากทุกประเทศทั่วโลก โดยไทยจะถูกเก็บในอัตรา 36% ในขณะที่ เวียดนาม จะถูกเรียกเก็บในอัตรา 20% มาเลเซียที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 26% อินโดนีเซีย ที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 32% ฟิลิปปินส์ถูกเรียกเก็บในอัตรา 17% และ สิงคโปร์ที่ถูกเก็บ 10% หมายความว่า ไทยเป็นประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีหนักที่สุดในภูมิภาค

ปัญหาที่ต้องคิดก็คือ การถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 36% มันไม่ได้จบลงเพียงแค่สินค้าของไทย ที่ส่งไปสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องอื่นที่จะเป็นปัญหาลูกโซ่ตามมาอีกมาก
หนักที่สุดคงหนีไม่พ้นปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยที่จะต้องสูญเสียไป

ทั้งนี้ หากผลิตสินค้าที่ประเทศไทยแล้วต้องบวกต้นทุนภาษี ที่ทำให้สินค้ามีราคาสูงมากขึ้น จะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตสินค้าออกไปส่งผลให้แรงงานไทย อาจถูกเลิกจ้าง ในอุตสาหกรรมที่ส่งออกสู่สหรัฐฯ มาก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ หรืออื่นๆ โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ปทุมธานี อยุธยา นครราชสีมา และอีกหลายจังหวัด 

กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบต่อมาคือ กลุ่ม SMEs ผู้ผลิตเพื่อส่งออกที่รับจ้างประกอบ ผลิต หรือส่งสินค้าผ่าน Trader ไปอเมริกา อาจถูกยกเลิกออเดอร์ หรือ ต่อรองราคาลงทันที หากมีต้นทุนคงที่สูง (ค่าเช่าโรงงาน เครื่องจักร หนี้เงินกู้) ก็อาจประสบภาวะ “ขาดทุนต่อเนื่อง” จนนำไปสู่การปิดกิจการ

กลุ่มต่อมา คือ กลุ่มเกษตรกร เพราะหากสินค้าเกษตรแปรรูป (เช่น ทูน่ากระป๋อง, น้ำผลไม้, ข้าวแปรรูป ฯลฯ) โดนภาษีสูง และคำสั่งซื้อลด อาจส่งผลต่อราคาผลผลิตที่ตกต่ำ เกษตรกรที่ขายให้โรงงาน หรือผู้ส่งออกจะได้รับราคาที่ต่ำลง หรืออาจขายไม่ออก รวมไปถึงเกษตรกรที่ปลูกข้าว โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุด 

ท้ายที่สุดปัญหานี้ จะลามมาถึง “รายได้หมุนเวียน” ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่พึ่งแรงงานโรงงาน ชุมชนที่เคยมีรายได้จากแรงงาน และหากผู้บริโภคเริ่มเข้าสูภาวะ “รัดเข็มขัด” จะส่งผลให้ผู้ค้ารายย่อยที่ขายอาหาร เครื่องใช้จิปาถะ จะได้รับผลกระทบทันที ซึ่งเมื่อรายได้หดตัวแต่รายจ่ายคงที่ ก็จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือน และอาจส่งผลต่อ NPL (หนี้เสีย) ของธนาคารในระดับครัวเรือนและบุคคลในที่สุด

ที่เจ๊เมาธ์ว่า มาทั้งหมดเรื่องของเรื่อง มันก็หนีไม่พ้นไปจากความสามารถและความเป็นมืออาชีพของรัฐบาล ที่จะใช้ในการวิเคราะห์ การตีโจทย์ รวมไปถึงใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะจัดการได้อย่างไร 

อย่าบอกว่า ปัญหามันเกิดขึ้นทั่วโลก...ไม่ว่าประเทศไหนก็โดนเหมือนกัน ของแบบนี้องค์ประกอบสำคัญอยู่ที่รัฐบาล อยู่ที่ผู้นำเช่นกัน นะคะ

บอกเลยว่า เกมนี้เป็นตัวชี้ว่า รัฐบาลจะไหวหรือไม่ ถ้าไม่ไหว...ก็เลือกผู้นำคนใหม่ เลือกรัฐบาลใหม่ เรื่องมันก็มีเท่านี้เองเจ้าค่ะ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์