KEY
POINTS
*** เมื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า ได้บรรลุข้อตกลงในเรื่องการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสหรัฐฯ และ เวียดนาม โดยที่สินค้าของสหรัฐฯ สามารถขายในเวียดนามโดยไม่มีการเก็บภาษี (Zero Tariff)
ขณะที่เวียดนามจะจ่ายภาษีศุลกากร 20% ให้กับสหรัฐฯ สำหรับสินค้าทั้งหมดที่ส่งมายังสหรัฐฯ และภาษีศุลกากร 40% สำหรับสินค้าที่มีลักษณะเป็นการส่งต่อผ่านเวียดนาม (Transshipping) อีกทั้งเวียดนามจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ สินค้าอเมริกัน สามารถขายในเวียดนาม โดยไม่มีการเก็บภาษีเลย (Zero Tariff)
แปลตรงตัวง่ายๆ ก็คือ สินค้าที่เวียดนามจะจ่ายภาษีศุลกากร 20% จะต้องเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิด และผลิตในเวียดนามเท่านั้น แต่หากเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดมาจากที่อื่น แล้วใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปยังสหรัฐฯ สินค้าเหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 40% ซึ่งชัดเจนว่าสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน และสินค้าที่มาจากประเทศจีน ในลักษณะของการใช้เวียดนามเป็นเครื่องมือในการ “ปิดล้อมทางเศรษฐกิจ” โดยมีตลาดออกส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นตัวประกัน
อย่าได้ลืมไปว่า ถึงแม้ตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะมีสูงถึงมูลค่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2024 เวียดนามเอง ก็มีการค้าขายกับจีนในมูลค่ารวมที่สูงถึง 2.05 แสนล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นสินค้าส่งออกจากเวียดนาม ไปยังประเทศจีน 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ใ
นขณะที่มูลค่านำเข้าสินค้าจากจีนมายังเวียดนาม มีมูลค่า 1.44 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นก็ทำให้ตีความได้ว่า... สินค้าส่วนใหญ่ของเวียดนาม ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีต้นทางมาจากประเทศจีนเป็นหลัก
ดังนั้น การตั้งกำแพงที่ว่า หากเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดมาจากที่อื่น แล้วใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปยังสหรัฐฯ สินค้าเหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 40% จึงมุ่งเป้าไปที่สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดมาจากจีนอย่างชัดเจนนั่นเอง
แต่ไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาที่คิดได้...เพราะจีนเองก็อ่านเกมอเมริกาออกเช่นกัน!!!
การแก้เกมปิดล้อมทางเศรษฐกิจของจีน กำลังมีความชัดเจนขึ้นเริ่มตั้งแต่จีนได้เรียกวิศวกร และ ช่างเทคนิคชาวจีนหลายร้อยคนกลับประเทศ พร้อมกันนี้จีนยังได้แจ้งอย่างไม่เป็นทางการให้บริษัทต่างๆ รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแล ให้หยุดการส่งออกอุปกรณ์ บุคลากร และองค์ความรู้สำคัญไปยังอินเดีย และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นัยว่า เพื่อหยุดยั้งไม่ให้บริษัทข้ามชาติ เช่น แอปเปิล สามารถย้ายฐานการผลิตออกไปจากจีนได้อย่างรวดเร็วเกินไป
นอกจากนี้ จีนได้ “ประกาศตอบโต้” โดยระบุว่า ไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่ตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อแลกกับการผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ “จีนจะไม่ยอมรับและตอบสนองอย่างเด็ดขาด” เพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน
ทั้งนี้ คำประกาศของจีนทำให้เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศแรกๆ ในกลุ่มอาเซียนที่ถูกประกาศว่า ได้บรรลุการเจรจาเรื่องภาษี ต้องอยู่ในสภาพที่ “กลืนไม่เข้าและคายไม่ออก” เพราะหากเวียดนามพยายามกอดภาษี 20% ด้วยการวิ่งตามสหรัฐฯ โดยตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานของสินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ จนทำให้จีนกำหนดมาตรการตอบโต้
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกำหนดอัตราภาษี หรือ การกำหนดประเภทสินค้าส่งออกจากจีนไปยังเวียดนาม ก็จะทำให้สินค้าที่เวียดนาม จะส่งไปยังสหรัฐ มีปัญหาทั้งในเรื่องของต้นทุนสินค้าและวัตถุดิบ หรือ อาจจะถึงขั้นขาดแคลน จนไม่อาจส่งสินค้าได้ด้วยซ้ำไป
อย่าลืมว่า “หากไม่มีวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดตั้งต้นมาจากประเทศจีน” ก็จะส่งผลให้เวียดนามแทบจะไม่มีสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐฯ
ดังนั้น สถานะของเวียดนามในตอนนี้ เวียดนามจึงกำลังถูกประเทศอื่นๆ จับจ้องว่าจะเดินไปทางใด
ประมาณว่า “ถ้าตามอเมริกาก็จะเสียจีน หรือ ถ้ายังอยู่กับจีนก็จะเสียอเมริกา” ซึ่งนั้นก็ทำให้สิ่งที่หลายคนมองว่า การที่เวียดนามสามารถบรรลุข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐก่อนใคร ว่านั่นคือ “ชัยชนะ” ก็อาจจะต้องมองใหม่
ใครจะไปรู้ว่า ถ้าเวียดนามตัดสินใจเลือก หรือ ไม่เลือกใคร ระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ก็อาจเป็นการก้าวพลาด ประมาณว่าวางหมากพลาดตาเดียว ก็กลายเป็น “ผู้แพ้” ทั้งกระดานได้เช่นเดียวกันนะคะ
และแน่นอนว่า การเป็นคนก้าวเดินออกไปก่อน ก็จะทำให้ประเทศอื่นๆ ที่กำลังเดินตามหลังได้ใช้เป็นบทเรียนด้วยเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ อิอิอิ...
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์