*** หลังนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยอมรับว่า คลิปเสียงบทสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เป็นของจริงแท้แน่นอน ส่งผลให้มีแรงเทขายเข้ามายังดัชนีหุ้นไทยตามมา เนื่องจากนักลงทุน รวมถึงประชาชนชาวไทยจำนวนมาก ต่างแสดงความกังวลว่าคลิปเสียงดังกล่าว จะส่งผลกับความมั่นคงของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย น.ส.แพทองธาร จะทนต่อกระแสกดดันจากสังคมและไปต่อ แต่การที่ พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัว ก็ส่งผลให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลายเป็น “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพ และการผลักดันนโยบายให้ออกมาเป็นรูปธรรม...
ว่าแต่ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ และกูรูหุ้นหลายคน ...การเป็น “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” จะส่งผลกับหุ้นในกลุ่มใด และตัวใดบ้าง???
กลุ่มแรก ที่จะได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้นไปจาก หุ้นที่ได้อานิสงส์ จากนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนกันยายน 2568 ไปจนถึงสิ้นสุดอายุรัฐบาล ในปี 2570 โดยโครงการนำร่องจะใช้กับรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ -รังสิต และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และคาดการณ์ว่าจะทำให้จำนวนผู้โดยสารของสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สีชมพู สีเหลืองจะเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย “ไม่ได้ไปต่อ” อานิสงส์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายก็อาจ “อายุสั้น” ตามไปด้วย
กรณีนี้...บริษัทที่ได้รับผลกระทบได้แก่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีชมพู และ สีเหลือง ดำเนินงานภายใต้กลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (ประกอบด้วย BTS, STECON, RATCH) ก็อาจถูกหางเลขตามไปด้วย
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังผลักดัน ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ได้ไปต่อ หรือ หากมีจำนวนเสียงสนับสนุนที่ไม่เพียงพอต่อการผลักดันกฎหมาย ก็อาจทำให้โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถูกคุมกำเนิดด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย
1. หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และ กลุ่มเดอะมอลล์
2. หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
3. หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
4. หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS
กลุ่มที่สาม คือ หุ้นในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลตัดสินใจชะลอ และปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้เม็ดเงินจากโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท บางส่วนมาเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาประเทศระยะยาว ผ่านทาง "ลงทุนผ่านรัฐ + เมืองรอง + Digital Infra + Soft Power Tourism" โดยมีหุ้น 6 กลุ่ม ดังนี้
1. หุ้นกลุ่มธนาคาร (สินเชื่อ SME + ภาครัฐฯ) ได้แก่ KBANK, KTC
2. หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ SCC, TASCO
3. หุ้นกลุ่มรับเหมาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ CK, STECON
4. หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเมืองรอง ได้แก่ ERW, CENTEL, AOT
5. หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี Digital Infrastructure ได้แก่ ADVANC, GULF, INSET
6. หุ้นกลุ่มสินเชื่อชุมชน และ SME ได้แก่ MTC
แต่การขึ้น-ลงราคาทั้งหมดของกลุ่มหุ้นที่ว่ามา อาจไม่ใช่เรื่องการอยู่ หรือ ไป ของรัฐบาล แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจของไทยที่อยู่ในภาวะชะงักงันมานาน จนมาหนักข้อมากยิ่งขึ้นในช่วงเวลา 1-2 ปี ที่ผ่านมา ก็อาจทำให้หุ้นที่เจ๊เมาธ์ว่ามาเหล่านี้ ร่วงลงไปนิดหน่อยเท่านั้น
...ตกต่ำมานานขนาดนี้ ทำให้ไม่รู้ว่าจะร่วงลงต่อได้ยังไงก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ