ไทย-กัมพูชา ถ้าบานปลาย...หุ้นตัวไหนเจ็บ!

*** หลังความขัดแย้งบนพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา มีพัฒนาการที่ “เข้มข้น” มากขึ้น นับตั้งแต่มีชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณประสาทตาเมือนธม ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มาจนมาถึงการที่ทหารกัมพูชาเข้ามา “ขุดคูเรด” บริเวณช่องบก เป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ ซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU 43 จนเกิดการปะทะส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย 

ล่าสุดทางกัมพูชายืนยันว่า จะเดินหน้าฟ้องศาลโลก โดยไม่ใส่ประเด็นพื้นที่พิพาทปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย ช่องบก เข้าไปในการประชุม JCB กับไทย ในวันที่ 14 มิ.ย. 68 ทั้งที่รู้ว่าการขึ้นศาลโลก ต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง แม้จะรู้ว่าไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาแล้ว นับตั้งแต่จบคดีปราสาทพระวิหาร ก็ตาม 

ดังนั้น การส่งเรื่องไปศาลโลกคงไม่ราบรื่น ตามที่กัมพูชาคาดหวังขณะเดียวกัน หากกัมพูชาถ่วงเวลา หรือเล่นเกมมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการสร้างการสนับสนุนจากกระแสชาตินิยมภายในประเทศแบบที่เคยทำ หรือ จะเป็นไปเพราะเหตุใดก็ตาม แต่การลากถ่วงนี้อาจส่งผลให้ปัญหาความขัดแย้ง “ก้าวไปสู่ทางตัน” หรือ ร้ายแรงที่สุดอาจลุกลามไปถึงขั้นของ “การใช้กำลังทางทหาร” ก็เป็นไปได้!!! 

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ถึงขั้นของการใช้กำลังทางทหาร แต่น่าสังเกตว่าปัญหา “ชาตินิยม” ที่กำลังถูกปลุกและทำได้ง่ายในสถานการณ์เช่นนี้ อาจส่งผลให้เกิดการ “แบน” สินค้าและบริการของไทย  

ขณะเดียวกันหากการ “ลากถ่วงที่ไม่มีจุดสิ้นสุด” ลุกลามและบานปลายไปจนเกิด “ความขัดแย้งเต็มรูปแบบ” เจ๊เมาธ์ก็เชื่อว่าการ “ปิดด่าน” จะต้องเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นกัน... 

หากมีสถานการณ์บานปลายจนถึงขั้นต้อง “ปิดด่าน” และสินค้าไทยถูก “แบน” จะมีหุ้นกลุ่มใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ!!!

• กลุ่มแรก คือ กลุ่มเครื่องดื่ม ดูเหมือนว่า CBG จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมียอดขายหลักในต่างประเทศมาจากกัมพูชาราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายรวม รวมถึงมีแผนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ต้นปี 2569 ขณะที่ OSP มียอดขายในกัมพูชาเพียง 1-2% ของยอดขายรวมผลกระทบจึงน้อยกว่า 

• กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ และกระเบื้อง ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในลูกค้าสำคัญ พบว่า SCCC มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีส่วนแบ่งกำไรราวปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมด ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมดเช่นกัน

• กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มมีเดีย พบว่า MAJOR มีโรงหนัง 6 แห่ง รวม 33 จอในประเทศกัมพูชา คิดเป็น 3.8% ของจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งหมดของ MAJOR 

• กลุ่มที่สี่คือ กลุ่มเกษตรและอาหาร พบว่า CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชา เป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม

• กลุ่มที่ห้า คือ กลุ่มค้าปลีก  CPALL, CPAXT และ BJC มีการเปิดสาขาในกัมพูชา โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ในกัมพูชา จำนวน 112 สาขา ส่วน CPAXT มีสาขาในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง ขณะที่ BJC มีสาขา BIG-C ในกัมพูชา 25 แห่ง

• กลุ่มที่หก คือ กลุ่มพลังงาน OR มีสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี จากทั้งหมด 2,761 สถานีในไทยและต่างประเทศ

• กลุ่มที่เจ็ด คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า มีเพียง BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 39 MW คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน  

• กลุ่มที่แปด คือ กลุ่มโรงพยาบาล พบว่า BDMS มีโรงพยาบาล 2 แห่ง ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติในกัมพูชา โดยทั้ง 2 โรงพยาบาลสร้างรายได้เพียง 1% ดังนั้น ผลกระทบจึงไม่มาก ขณะที่โรงพยาบาลตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจมีลูกค้าชะลอเข้าใช้บริการบ้างเล็กน้อย โดย BCH เนื่องจากมี 1 แห่งที่ อรัญประเทศฯ 

แม้ว่าจะไม่มีใครกลัวใคร...และคนไทยก็พร้อมที่จะเสียสละผลประโยชน์ รวมไปถึงให้การสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ แต่ในภาวะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก รวมไปถึงเศรษฐกิจของทั้งไทยและกัมพูชา ต่างก็อยู่ในภาวะที่กำลังลำบาก ทำให้การจะทำสิ่งใดจะต้องคิดให้รอบคอบ...ไม่ใช้อารมณ์และความรู้สึกนำหน้า

ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงเชื่อว่า การเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันโดยเหตุที่ความสัมพันธ์ระดับครอบครัว ระหว่างผู้บริหารประเทศ อย่างตระกูล “ชินวัตร” ของไทย และตระกูล “ฮุน” ของกัมพูชามีความแนบแน่นเป็นพิเศษ ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงมองว่าความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน มีความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขได้ไม่ยากถ้าหากจะทำ 

ขอเพียงแค่ “ทำแล้วประเทศไทยไม่เสียเปรียบ” จะทำอะไรให้ดีขึ้นได้ ก็ให้รีบทำไปเลยเจ้าค่ะ