*** ในเวลาที่ตลาดหุ้นไทยได้ชื่อว่า “ตกต่ำที่สุดในโลก” กลับปรากฏ “หุ้นสิบเด้ง” รายใหม่ขึ้นมาจนได้!!!
เจ๊เมาธ์ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า “ลักไก่” กับความเร็วและแรงของ บมจ. ดีวี8 หรือ DV8 ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ บนพื้นฐานที่มองไม่ชัดมากนัก กระทั่งผลการดำเนินงานที่ไม่เข้าตา ประวัติความเป็นมายังไม่แจ่ม แต่ราคาหุ้นของ DV8 กลับสามารถดันจากราคา 0.38 บาท ขึ้นมาเป็น 4.80 บาท ในเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆ และที่น่าตกใจยิ่งกว่า ก็คือ หุ้นตัวนี้ถูกดันราคาขึ้นมาจาก 0.53 บาท กลายมาเป็น 4.80 บาท ในเวลาเพียง 11 วันทำการได้ โดยที่ไม่มีแม้กระทั่งคำถาม หรือ มาตรการออกมาจากผู้คุมกติกา
ก็อย่างที่บอก...ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในสถานะตกต่ำที่สุดในโลก ก็อาจเป็นจังหวะที่ทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต. กำลังสาละวนอยู่กับการ “แหงนหน้ามอง” เรื่องใหญ่อย่าง “สงครามการค้าจีน-เมกา” อาจทำให้ไม่มีเวลาสนใจ จนปรากฏบริษัทที่ไม่มีปัจจัย หรือ มีแม้แต่ข่าวใดรองรับ “ทะลึ่ง” ดีดตัวแรงขึ้นมาได้เช่นนี้
ว่าแต่บนพื้นฐานและผลดำเนินงานที่ว่า ของ “หุ้นร้อน” อย่าง DV8 มีอะไรน่าสนใจบ้าง??
เริ่มจากเรื่องของพื้นฐาน...จากข้อมูลพบว่า DV8 ทำธุรกิจเป็นผู้จัดหา ผลิต และหรือร่วมผลิตสื่อโฆษณา ณ จุดขาย การจัดงานอีเว้นท์ การผลิตผ่านสื่อออนไลน์ โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,072,812,144.00 บาท มีหุ้นจดทะเบียนจำนวน 1,319,922,083 หุ้น ที่ราคาพาร์ 0.60 บาท และมีบริษัทย่อยและบริษัทร่วมดังนี้
1. บริษัท ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทย่อย (บริษัทถือหุ้นร้อยละ 100.00)
2. กิจการร่วมค้า DCORP - DLI กิจการร่วมค้า (มีสัดส่วนร่วมค้าร้อยละ 80.00)
3. บริษัท ฮีโร่ เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด บริษัทร่วม (บริษัทถือหุ้นร้อยละ 37.50)
4. บริษัท เพลย์กราวด์ เอ็กซ์ จำกัด บริษัทร่วม (บริษัทถือหุ้นร้อยละ 49.00) ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
5. บริษัท ฮิโนกิ วู้ด เวิร์ค จำกัด บริษัทย่อย (ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัทย่อย และมีกรรมการร่วมกัน)
ทั้งนี้จากการเข้าไปดูที่งบการเงิน (งวดปี 2567) พบว่า บริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับของ DV8 เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะบันทึกผลการดำเนินงานที่ขาดทุนจากลูกหนี้การค้า รวมไปถึงมีการฟ้องร้องลูกหนี้หลายราย ที่ไม่รู้ว่าจะเก็บเงินได้หรือไม่ เต็มไปหมด
ต่อมาเป็นเรื่องผลการดำเนินงาน... พบว่าในช่วงเวลา 4 ปีกว่าๆ บริษัทระดับ “สิบเด้ง” รายนี้มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนต่อเนื่องมาตลอด
โดยปี 2564 มีรายได้ 204.42 ล้านบาท มีผลการดำเนินงานขาดทุน 47.38 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 262.30 ล้านบาท ขาดทุน 14.32 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 104.36 ล้านบาท ขาดทุน 35.71 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 150.45 ล้านบาท มีกำไร 3.43 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้ 41.13 ล้านบาท ขาดทุน 20.14 ล้านบาท
สรุปก็คือ ในช่วงเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทแห่งนี้มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนรวมกว่า 110 ล้านบาท โดยมีเพียงแค่ในปี 2566 บริษัทมีกำไรโผล่ขึ้นมาเพียง 3.43 ล้านบาทเท่านั้น
ย้อนกลับไปดูกันหน่อย ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น บมจ. ดีวี8 หรือ DV8 บริษัทแห่งนี้เคยเป็น “ตัวตึงในตำนาน” เริ่มตั้งแต่ชื่อ “บริษัท อ่าวขามไทย” ซึ่งทำธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกในทะเลและเช่าเรือขุดแร่ ต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ บมจ. ซิโน-ไทย รีซอร์เซส ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ STRD
จนท้ายที่สุด ต้องฟื้นฟูกิจการและเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ. เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า หรือ AJP โดยกลับเข้ามาซื้อราคาวันแรกที่ราคา 16-17 บาท หรือกว่า 6,000% จากราคาปิดครั้งสุดท้ายในชื่อ STRD ก่อนกลับมาซื้อขาย AJP ที่สร้างชื่อโด่งดัง ในแวดวงนักเล่นหุ้นสมัยนั้น
ล่าสุด ก่อนที่จะมาใช้ชื่อ DV8 มาตั้งแต่ปี 2563 บริษัทแห่งนี้ ก็เคยใช้ชื่อว่า บมจ. ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น หรือ DCORP ซึ่งในช่วงปี 2561 ราคาเคยไล่ขึ้นไปสูงสุดที่ 3.96 บาท/หุ้น ก่อนจะทรุดไปต่ำสุดที่ 45 สตางค์ เป็นแบบนี้หลายรอบ ให้นักลงทุนรายย่อยเจ็บช้ำ
...ก่อนล่าสุดจะถึงการเด้งๆๆ รอบใหญ่จาก 0.38 บาท ขึ้นมาเป็น 4.80 บาทในครั้งนี้นั่นเอง
นาทีนี้เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่เตือนกันว่า นักลงทุนอย่างเราควรระวังหุ้นที่มีลักษณะเช่นนี้เอาไว้ให้มาก เพราะถึงขนาดนี้แล้วพึ่งใครไม่ได้...นักลงทุนอย่างเราก็ได้แต่ดูแลตัวเองเท่านั้นเองเจ้าค่ะ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้สอบถามไปยังบริษัท ดีวี8 จํากัด (มหาชน)เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2568 โดยที่บริษัทชี้แจงตามที่ตลาดหลักทรัพย์สอบถามไปในวันที่ 9 พ.ค.เช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังออกข่าวให้นักลงทุนพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ด้วยเช่นกัน