“กัลฟ์”แกร่งเกินพื้นฐาน เมินแรงฉกฉวยเขย่าเล็กๆ

27 พ.ค. 2568 | 23:00 น.

“กัลฟ์”แกร่งเกินพื้นฐานเมินแรงฉกฉวยเขย่าเล็กๆ : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ในช่วงเวลาที่ความสนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ กำลังโฟกัสไปที่เรื่องของสงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในต่างประเทศ กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการ “ลักหลับ” เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์จากตลาดหุ้น ที่อาศัยปัจจัยภายนอกเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก อย่างเช่น ตลาดหุ้นไทย

โดยเฉพาะการหาช่องว่างเพื่อการใช้ Robot Trade เข้ามาเอาเปรียบตลาดฯ ด้วยการใช้ข่าวสารที่ไม่ชัดเจน “มาขยายความ” เพื่อเล่นรอบ ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้นของการ “ทุบ” แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นการขยายความเกินจริง เพื่อสร้างความ “แตกตื่น” มีเพียงโบรกฯ ไม่กี่รายเท่านั้นที่นิยมใช้วิธีการเช่นนี้...

 

ที่น่าสนใจมาก คือ โบรกเกอร์ใหญ่ ที่นิยมใช้ Robot Trade ในรูปแบบ High Frequency Trading จนมีส่วนแบ่งการตลาดสูงวอลุ่มเทรดบางวันพุ่งไปแตะ 3 หมื่นล้าน ส่งผลให้มักใช้เกมการขายชอร์ตหุ้นมาตลอด ส่วนใครจะเสียเปรียบ หรือ ได้เปรียบก็เป็นอีกเรื่อง!!!

ล่าสุดเป็นกรณีของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) ที่ได้ปรับลด FiT โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ได้ถูกจับมาขยายความ จนทำให้หุ้นของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเน้นไปที่ GULF ทั้งที่แทบจะไม่ส่งผลต่อพื้นฐานธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจาที่ยังไม่มีข้อสรุป

อย่างแรก ในกรณีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในเวียดนามที่ GULF ดำเนินการอยู่มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ราว 100 MW ในขณะที่ธุรกิจพลังงานของ GULF ครอบคลุมไปทั้ง Gas-fired Power Generation, พลังงานหมุนเวียน และ ธุรกิจก๊าซ 

โดยในปี 2576 จะกำลังการผลิตติดตั้งจากโรงไฟฟ้าก๊าซ 14,861 MW รวมทั้งจะมีกำลังการผลิตติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียน 8,495 MW ซึ่งเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของธุรกิจพลังงานทั้งหมด ก็จะพบว่าโรงไฟฟ้าขนาดเพียง 100 MW ถือว่าเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างที่สอง เป็นเรื่องของโครงข่ายทางธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของ GULF นอกธุรกิจพลังงาน ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท เช่น...

1. ธุรกิจสื่อสารผ่านการซื้อและควบรวมกิจการของ INTUCH เข้ามาอยู่รวมในรวมมูลค่าราว 8 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังได้บริษัทลูกอย่าง ADVANC ติดมือเข้ามารวมอยู่ในอาณาจักร 

นอกจากนี้ GULF ยังลงทุนอีกราว 1.1 หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อ THCOM เข้ามาเป็นบริษัทลูกของ GULF โดยตรง ส่งผลให้เงินลงทุนในธุรกิจเดิมของ INTUCH รวมแล้วจะอยู่ที่ราว 9.1 หมื่นล้านบาทโดยประมาณ

2. ธุรกิจ Data Center ด้วยการจับมือกับ Singapore Telecommunications และ AIS ในเงินลงทุน 1.3 หมื่นล้านบาท

3. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ใหม่ของ Binance.US ด้วยวงเงินลงทุนมูลค่าที่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 673 ล้านบาท

4. ธุรกิจทางด่วนผ่านโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี ในวงเงิน 21,329 ล้านบาท

5. ธุรกิจท่าเรือในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ผ่านทางการจับมือกับ บจ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (บริษัทลูกของ PTT) และ บจ.ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง ในวงเงินลงทุนของเอกชนราว 32,000 ล้านบาท

6. ธุรกิจธนาคารผ่านการลงทุนซื้อหุ้นของ KBANK ในสัดส่วน 5.23% รวมมูลค่าการลงทุนไปราว 1.86-1.92 หมื่นล้านบาท เพื่อเปิดประตูสู่ธุรกิจธนาคารตรงผ่านและธุรกิจประกันภัย ซึ่ง KBANK ถือหุ้นอยู่ใน บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด อยู่ 51% ซึ่งบริษัทโฮลดิ้งนี้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL อยู่ถึง 75%

ล่าสุด...การที่ ADVANC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GULF ได้จับมือกับ JAS โดยจะสนับสนุนเงินปีละ 1,000 ล้านบาท ในฐานะของสปอนเซอร์ใหญ่ ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ 6 ฤดูกาล ผ่านช่องทางของ AIS PLAY และ Monomax โดยเฉพาะฐานลูกค้าเดิมของ AIS กว่า 45.8 ล้านเลขหมาย ทั้งในกลุ่มโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน คาดว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง จากการเพิ่มคอนเทนต์กีฬาระดับโลก และความบันเทิงแบบครบวงจร รวมถึงการจับมือของ GULF JAS และ MONO อาจนำไปสู่การต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นในอนาคตได้อีก

ดังนั้ นหากว่ากันถึงในเรื่องของพื้นฐานสำหรับบริษัทใหญ่อย่าง GULF เจ๊เมาธ์มองว่า ไม่มีปัญหา ส่วนถ้าใครจะใช้วิธีการตีหัวเข้าบ้านหรือชกใต้เข็มขัด ด้วยการปั่นข่าวเพื่อเล่นราคา เรื่องนี้ก็ได้แต่หวังว่า ผู้คุมกติกาทั้งหลาย (Regulator) จะเข้ามาดูแล...เรื่องมันก็มีเท่านั้นเองค่ะ