KEY
POINTS
ประเทศไทยในปี 2568 กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนผ่านทางโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในภาคแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบการผลิต และการเติบโตของประเทศ
ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การแข่งขันจากต่างประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ได้กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อระบบการจ้างงาน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีสัดส่วนแรงงานมากที่สุดในประเทศ
ขณะเดียวกัน แรงงานรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษา กลับพบว่า ตนเองไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างราบรื่น เนื่องจากช่องว่างของทักษะที่ตลาดต้องการและทักษะที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แรงงานเดิมจำนวนมากยังไม่สามารถปรับตัวต่อยุคดิจิทัลได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้เกิดความเปราะบางในเชิงโครงสร้าง และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่อเนื่องในระดับครัวเรือน
โดยเฉพาะเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้นเร็วกว่าการปรับตัวของค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ปัญหาหนี้สินซึ่งกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยเฉพาะในหมู่แรงงานระดับล่างที่อาจจะไม่มีระดับทักษะที่สูงมากนัก
ในบทความนี้ผู้เขียนจะเน้นไปที่การวิเคราะห์ประเด็นแรงงานในบริบทของประเทศไทยปี 2568 ภายใต้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การหดตัวของการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การว่างงานของเด็กจบใหม่และปัญหาความไม่สอดคล้องของทักษะ (skills mismatch) การขาดแคลนทักษะดิจิทัลและบางทักษะที่สำคัญในกลุ่มแรงงาน และ ภาระค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทย
สภาวะการณ์จ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) : จุดเสี่ยงเชิงระบบของแรงงานไทย
ธุรกิจ SMEs เป็นภาคเศรษฐกิจที่จ้างแรงงานไทยมากที่สุด คิดเป็นกว่าร้อยละ 70 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศซึ่งเป็นจำนวนประมาณ 13 ล้านคน (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, 2566)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึง ปัจจุบัน ผู้ประกอบการจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับแรงกดดันซ้ำซ้อน ทั้งจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ การปรับขึ้นค่าแรง การขาดแคลนแรงงานฝีมือ ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างฉับพลัน
มากไปกว่านั้นจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ระบุไว้อีกว่า นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา SMEs ในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลได้ทัน เช่น สินค้าพื้นเมือง การผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป และ ภาคบริการในชุมชน กำลังเผชิญกับการปิดกิจการอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ระบุไว้ว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ตัวเลขเฉลี่ยของกิจการที่เลิกจ้าง หรือปิดกิจการในแต่ละเดือนสูงกว่า 1,000 ราย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมกำลังเผชิญอยู่นี้ คือ ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งมีเงื่อนไขเข้มงวด อีกทั้งผู้ประกอบการรายใหม่ที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันก็มักถูกปฏิเสธสินเชื่อ
ในปี 2567-2568 สถานการณ์ของ SMEs ยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง แม้จะมีสัญญาณของการเปิดกิจการใหม่และการฟื้นตัวบางส่วนในภาคบริการ แต่มีผู้ประกอบการจำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง และมีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และกว่าร้อยละ 20 มีแนวโน้มที่จะลดพนักงานหรือลดต้นทุนแรงงานในระยะอันใกล้นี้
ปัจจัยหลักที่ผลักให้ธุรกิจถอยหลังไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบจากโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันจากแพลตฟอร์มดิจิทัล และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าพลังงาน และค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นในบางพื้นที่ ซึ่งทำให้ต้นทุนดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ประกอบการนั้นไม่สามารถขึ้นราคาสินค้า เพื่อลดแรงกดดันด้านต้นทุนได้อย่างคล่องตัว
แม้ว่าในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ธุรกิจ SMEs จะมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้จ้างงานรายใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่ภาคธุรกิจนี้กลับกลายเป็นจุดเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ เมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ระดับมหภาค หรือ แรงกดดันทางโครงสร้าง เช่น ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายแรงงานของรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบตลาดแรงงานและความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานรากอย่างรุนแรง
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง จะพบว่า SMEs ไทยจำนวนมากมีจุดอ่อนเรื้อรังที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง หนึ่งในนั้น คือ การพึ่งพาแรงงานราคาถูก โดยไม่มีการลงทุนในเทคโนโลยี หรือ การเพิ่มผลิตภาพแรงงานผ่านการพัฒนาทักษะที่ทันสมัยและเหมาะสมอย่างจริงจัง ทำให้ภาคธุรกิจนี้ขาดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ธุรกิจจำนวนมาก ยังไม่มีระบบจัดการธุรกิจที่ทันสมัย ไม่มีแผนการเงินที่มั่นคง และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ การขาดข้อมูลทางการตลาด ขาดการพัฒนาสินค้าและบริการ ความไม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ และการพึ่งพาลูกค้ารายเก่า ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจ SMEs จำนวนมากไม่สามารถฟื้นตัวได้ หลังจากเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจ
ในภาพรวม ปัญหาของธุรกิจที่เกิดจากการหดตัวจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ธุรกิจขนาดเล็ก” ที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ แต่คือ การสะท้อน “จุดอ่อนเชิงโครงสร้าง” ของระบบเศรษฐกิจไทยในระดับลึก ซึ่งประกอบด้วยการขาดความเชื่อมโยงเชิงนโยบายระหว่างภาคธุรกิจ การเงิน การศึกษา และแรงงาน ในระยะยาวหากไม่สามารถยกระดับ SMEs ให้มีศักยภาพมากกว่าการเป็นเพียงแค่ “ธุรกิจปากท้องของท้องถิ่น” เศรษฐกิจไทยจะยังคงติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง และระบบการจ้างงานที่ไร้ความมั่นคงตลอดไป
เด็กจบใหม่กับตลาดแรงงาน : ช่องว่างของความรู้ที่มีกับทักษะที่ตลาดต้องการ
ในขณะที่ตลาดแรงงานและกำลังแรงงานนั้น กำลังปรับตัวตามยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวนไม่น้อยกลับพบว่า ตนเองไม่สามารถหางานได้ตรงกับสาขาวิชาที่เรียนมา หรือหากได้งานก็เป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะ หรือ ความรู้ที่สั่งสมมาได้อย่างเต็มที่ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาไทย ที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานสมัยใหม่ได้อย่างแท้จริง
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2568) ระบุว่า อัตราว่างงานในกลุ่มเด็กจบใหม่อยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.84 ซึ่งแม้ตัวเลขดังกล่าวอาจดูไม่สูงมากนัก แต่เมื่อเทียบอัตราว่างงานในทุกกลุ่มอายุจะอยู่เพียงแค่ร้อยละ 0.88 ดังนั้น ตัวเลขของการว่างงานในกลุ่มเด็กจบใหม่ ก็น่ากังวลอยู่พอสมควร
ถึงอย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวเลขนี้ กลับรุนแรงและซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะแรงงานจำนวนไม่น้อยไม่ได้ว่างงานโดยตรง แต่กลับอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “การจ้างงานที่ไม่เหมาะสม” (underemployment) เช่น การทำงานนอกสาขา การทำงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะที่เรียนมา หรือ ทำงานที่มีค่าจ้างต่ำ และขาดโอกาสในการเติบโต
มากไปกว่านั้น หากเราพิจารณาควบคู่กับข้อมูลและความเห็นของนายจ้างจะพบว่า มีผู้ประกอบการจำนวนมากที่มองว่าแรงงานจบใหม่ ยังขาดทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง โดยเฉพาะความสามารถในการรับผิดชอบงาน การทำงานเป็นทีม และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ การออกแบบหลักสูตรการศึกษาที่ขาดการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมจริง มีนิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสฝึกงาน ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ เพื่อจะนำไปปรับใช้กับการทำงานในตลาดแรงงานและสถานประกอบการจริง
นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยบางส่วน ที่ยังขาดประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในหน่วยงานราชการ หรือเอกชน ทำให้การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ยังคงอยู่ในกรอบทฤษฎีที่ไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมีความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงที่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
หัวใจสำคัญของปัญหานี้คือ “ช่องว่างทางทักษะ” หรือที่เรียกในเชิงวิชาการว่า “skill mismatch” ซึ่งหมายถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างทักษะที่เด็กจบใหม่มี กับสิ่งที่ตลาดแรงงานต้องการจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ต้องการทั้งทักษะเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล หรือ การใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ เป็นต้น และทักษะเชิงพฤติกรรมอย่างการคิดเชิงระบบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
เด็กจบใหม่จำนวนมาก ยังคงได้รับการฝึกฝนภายใต้ระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำ การทำข้อสอบ และ การส่งรายงานตามกำหนด มากกว่าการลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง หรือเรียนรู้จากโจทย์ของภาคธุรกิจจริง ส่งผลให้เมื่อเข้าสู่โลกของการทำงาน พวกเขาพบว่าทักษะที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ จากความมั่นใจที่เคยมีในห้องเรียนกลับกลายเป็นความอึดอัด เมื่อเผชิญกับโจทย์จริงที่ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน
ระบบการศึกษาของไทย โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษายังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างอย่างมาก ในด้านการออกแบบหลักสูตรที่ล้าสมัย ขาดการปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายหลักสูตรไม่ได้ปรับเปลี่ยนมากว่า 10 ปี และยังเน้นความรู้ในเชิงทฤษฎีเป็นหลัก
ขณะที่การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ การฝึกงาน หรือการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนกลับเป็นเพียงกิจกรรมเสริมที่มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือในบางสถานศึกษากลับไม่มีกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวให้กับผู้เรียนเลย
กรณีตัวอย่างจากมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดของไทย พบว่า แม้นักศึกษาจะเรียนในสาขาบริหารธุรกิจ หรือการจัดการ แต่กลับไม่มีโอกาสได้ฝึกงานในธุรกิจจริง หรือหากได้ฝึกก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และไม่ได้รับมอบหมายงานที่มีความรับผิดชอบจริง หรือ สอดคล้องกับการทำงาน ส่งผลให้ประสบการณ์นั้นไม่ได้เสริมสร้างทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในภาคธุรกิจใด ๆ อย่างแท้จริง
อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ก็มีบทบาทอยู่ไม่น้อย เนื่องจากภาคธุรกิจบางส่วนหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และพยายามลดขนาดองค์กรให้มีขนาดเล็กมากที่สุด ส่งผลให้การเริ่มต้นชีวิตการทำงาน จึงกลายเป็นความท้าทายสำหรับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษา
ในภาพรวม ปัญหาการว่างงานของเด็กจบใหม่ จึงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของข้อจำกัดในจำนวนตำแหน่งงานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการสะท้อนถึงระบบ ที่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างโลกของการเรียนรู้ กับโลกของการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูประบบการศึกษา การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างพื้นที่ฝึกฝนทักษะนอกห้องเรียนจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ทักษะดิจิทัล (digital skills) : จุดอ่อนของแรงงานไทย
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นรากฐานของพลวัตทางเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต การมีทักษะดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียง “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็นพื้นฐาน” เช่นเดียวกับการรู้หนังสือหรือการคำนวณเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม แรงงานไทยจำนวนมากกลับยังไม่สามารถก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำทางด้านทักษะนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแรงงานภาคบริการ ภาคการผลิตดั้งเดิม และแรงงานในต่างจังหวัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่กำลังขยายวงกว้างขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในเชิงนโยบาย แต่ยังมีแรงงานจำนวนมาก ที่ยังไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันพื้นฐานในการทำงานได้เลย
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (2565) ระบุว่า มีแรงงานไทยเพียงประมาณร้อยละ 36 เท่านั้น ที่สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานในการทำงานได้ในระดับดี เช่น การใช้ Microsoft Word, Excel หรือ PowerPoint ขณะที่ในพื้นที่ชนบท ตัวเลขนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ที่สำคัญ คือ ในกลุ่มแรงงานอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ความสามารถในการใช้ทักษะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ระบบออนไลน์ในการติดต่อประสานงาน การจัดการข้อมูล หรือ แม้แต่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ความไม่พร้อมนี้ส่งผลให้แรงงานจำนวนมาก หลุดออกจากโอกาสในการพัฒนาตนเองและเข้าถึงงานที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่
แรงงานในกลุ่มที่ไม่ได้มีการศึกษาในระบบระดับสูง มักไม่ได้รับการฝึกทักษะดิจิทัลมาตั้งแต่ต้น และเมื่อเริ่มการทำงานจริง ก็พบว่าในหน่วยงานไม่ได้สนับสนุนให้มีการฝึกอบรม หรือพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
นายจ้างจำนวนมากโดยเฉพาะในภาค SMEs หรือธุรกิจครอบครัว ก็ไม่มีทรัพยากรในการฝึกอบรมพนักงาน หรือมองว่า ทักษะดิจิทัลไม่ใช่เรื่องจำเป็นในธุรกิจของตน เช่น ร้านอาหาร ร้านขายของชำ หรือ ธุรกิจบริการแบบดั้งเดิม ซึ่งแท้จริงแล้วธุรกิจเหล่านี้ ก็สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้เช่นเดียวกัน
แต่ “comfort zone” ของผู้ประกอบการ หรือ ความคิดที่ว่า “ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัล” กลายเป็นกำแพงสำคัญในการพัฒนาทักษะของแรงงานชาวไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของ IMD ปี 2567 ที่อยู่เพียงแค่ในลำดับ 37 จาก 67 เขตเศรษฐกิจ (แต่ก็ดีขึ้นมากพอสมควรเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 56) และมีภาคธุรกิจของไทยเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Deloitte, 2020)
แม้ว่าในช่วงหลังรัฐบาลจะมีโครงการต่าง ๆ เช่น การอบรมทักษะดิจิทัลในกลุ่มแรงงานนอกระบบ หรือ การส่งเสริมแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบออนไลน์ แต่ปัญหาหลักกลับอยู่ที่การกระจายและการเข้าถึงโอกาส และความเหมาะสมของหลักสูตรกับบริบทในชีวิตประจำวัน
มากไปกว่านั้น แรงงานบางกลุ่ม อาทิเช่น กลุ่มแรงงานสูงอายุ ที่พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ได้ จำเป็นที่จะต้องมีผู้แนะนำอย่างใกล้ชิด หรือเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตจริง
ในขณะที่แพลตฟอร์มที่มีอยู่มักออกแบบมาโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดทางการเรียนรู้ของคนกลุ่มนี้ โดยสรุป ความไม่พร้อมด้านทักษะดิจิทัลของแรงงานไทย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเฉพาะรายบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เชื่อมโยงกับระบบการศึกษา ระบบฝึกอบรม ทัศนคติของนายจ้าง การกระจายและการเข้าถึงโอกาส และความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี
การไม่สามารถยกระดับทักษะพื้นฐานด้านดิจิทัลของแรงงานในระดับประเทศ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และอาจทำให้แรงงานไทยบางส่วน จะกลายเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในระบบเศรษฐกิจโลก ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล
หากภาครัฐและตัวแรงงานเองนั้น ไม่ลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังอย่างทันทีทันใด ก็อาจจะสายเกินไปเมื่อโลกยุคใหม่ อาจจะไม่เหลือที่ว่างสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ทางด้านดิจิทัลอีกต่อไป
ค่าจ้างขั้นต่ำและภาระหนี้ : ความไม่สมดุลของชีวิตแรงงานกับการใช้ชีวิต
แม้ว่า ในปี 2568 จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในบางจังหวัดเป็น 400 บาทต่อวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในเชิงโครงสร้าง ค่าจ้างของแรงงานจำนวนมาก ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเมือง อย่างเช่น จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต หรือ เชียงใหม่ ที่มีค่าเช่าที่อยู่อาศัยและค่าเดินทางที่ค่อนข้างสูง
มีแรงงานจำนวนไม่น้อยจำเป็น ที่จะต้องพึ่งพาการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงิน ทั้งในและนอกระบบ เพื่อประคับประคองชีวิตให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค หรือ หนี้เพื่อการใช้จ่ายรายวันของครอบครัว
ขณะเดียวกัน หากเป็นแรงงานชนชั้นกลาง ก็จะมีหนี้สินจากบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากยังวนติดอยู่ในกับดักหนี้ที่ไร้ทางออก
มากไปกว่านั้น ภาระหนี้ที่สูงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของแรงงาน แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเครียด ความสัมพันธ์ในครอบครัว และประสิทธิภาพในการทำงาน ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ว่า แรงงานที่มีหนี้สินมีแนวโน้มที่จะประสบภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลเรื้อรัง และมีความคิดที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย (Amit et al., 2020)
ระบบค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทย แม้จะถูกกำหนดโดยคณะกรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัดอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติยังมีลักษณะเป็นนโยบายทางการเมือง มากกว่าการอ้างอิงตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ หรือ ความเป็นจริงทางสังคมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ค่าจ้างขั้นต่ำจะมีการปรับขึ้นเป็นระยะ เช่น การขยับค่าจ้างขั้นต่ำรายวันในบางจังหวัดให้แตะ 400 บาท แต่การปรับขึ้นขอค่าแรงขั้นต่ำนั้น กลับไม่ทันต่อสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพที่แท้จริง
ทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าพาหนะ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการศึกษาของบุตร ทำให้แรงงานไทยจำนวนมาก ยังคงติดอยู่ในวังวนของรายได้ที่ไม่พอเพียง และไม่สามารถออมเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นหรือการเกษียณอายุจากการทำงาน หรือเพื่อการขยับเศรษฐานะอย่างยั่งยืนได้เลย
หากนำข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของ 10 จังหวัดที่สูงที่สุดในประเทศไทย จะมีตัวเลขอยู่ที่ 23,540 บาท (ชุมพร) - 33,150 บาท (ภูเก็ต) และหากนำมาคำนวณเป็นรายวันจังหวัดเหล่านี้ จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 785 - 1,105 บาทต่อวัน
ในทางกลับกันค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดเหล่านี้ อยู่เพียงแค่ประมาณ 351 - 400 บาทต่อวันเท่านั้นเอง หมายความว่าค่ าจ้างขั้นต่ำในหลายพื้นที่ยังต่ำกว่าระดับค่าครองชีพขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้แรงงานต้องหาทางเพิ่มรายได้จากงานพิเศษ การทำงานล่วงเวลา หรือที่พบมากที่สุดคือ การกู้ยืมเงินเพื่อกินใช้ในครัวเรือน
เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย แรงงานจำนวนมาก จึงหันไปพึ่งพาเงินกู้ในฐานะ “ห่วงยางชูชีพ” ในการประคับประคองชีวิตและครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานระดับล่าง หรือ แรงงานนอกระบบที่ไม่มีรายได้ประจำ ขาดสวัสดิการ และ ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้อย่างแท้จริง
แรงงานจำนวนไม่น้อยติดอยู่ใน “กับดักหนี้” ซึ่งประกอบด้วยการหมุนเงินรายวัน กู้หนี้ใหม่เพื่อจ่ายหนี้เก่า และการใช้รายได้ส่วนใหญ่ไปกับการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าที่ใช้ในชีวิตจริง การไม่มีระบบการออมที่มั่นคง หรือ สวัสดิการรองรับยามเจ็บป่วยและเกษียณ เหล่านี้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้แรงงานมีภาระทางการเงินต่อเนื่อง ตลอดชีวิตการทำงาน และอาจยาวนานไปจนถึงภายหลังการเกษียณอายุ
ในภาพรวม ปัญหาโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สะท้อนค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของแรงงานไทย จึงไม่ใช่เรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวทางสังคมของระบบสวัสดิการ และนโยบายแรงงานของภาครัฐที่ยังไม่สามารถคุ้มครองวัยแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยได้อย่างเพียงพอ
การแก้ปัญหานี้จึงต้องอาศัยการปฏิรูประบบค่าจ้างใหม่ ให้มีความยืดหยุ่น และเชื่อมโยงกับค่าครองชีพในชีวิตจริง ขณะเดียวกัน ภาครัฐและเอกชน จำต้องมีมาตรการจัดการหนี้และการออมเงินอย่างมีระบบ ไม่ใช่แค่พักหนี้ หรือให้กู้เพิ่ม แต่ต้องสร้างทางเลือกเชิงบังคับ เช่น การออมภาคบังคับ การสร้างระบบสวัสดิการแรงงาน และการให้ความรู้ทางการเงินที่เข้าถึงได้อย่างทั่วถึง
การรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นระบบเท่านั้น ที่จะทำให้แรงงานไทยสามารถหลุดพ้นจากความไม่มั่นคงทางด้านรายได้ และสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงจากฐานรากได้อย่างแท้จริง
บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ้อนทับกันหลายระดับในระบบแรงงานไทย ทั้งการจ้างงานที่หดตัวในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทักษะที่ไม่สอดคล้องในเด็กจบใหม่ ความเปราะบางด้านทักษะดิจิทัล รวมถึงภาระหนี้ที่ฉุดรั้งแรงงานให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวม ที่ครอบคลุมการออกแบบนโยบายด้านแรงงาน การศึกษา การเงิน การส่งเสริมทักษะ และการคุ้มครองทางสังคมร่วมกันในระดับชาติ ลงไปถึงในระดับท้องถิ่นเช่นเดียวกัน ผ่านการประสานงานระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และที่สำคัญที่สุด คือ ตัวแรงงานเอง เพื่อสร้างระบบแรงงานใหม่ที่ยืดหยุ่น ยุติธรรม และยั่งยืน
ท้ายที่สุดความเข้มแข็งของประเทศไทยในระยะยาว ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการ “ดูแล” แรงงานทุกคนให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีโอกาสในการพัฒนาอย่างเท่าเทียมทางสังคม โดยเฉพาะภายใต้บริบทแห่งการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจยุคใหม่นี้
อ้างอิง : Amit, N., Ismail, R., Zumrah, A. R., Mohd Nizah, M. A., Tengku Muda, T. E. A., Tat Meng, E. C., ... & Che Din, N. (2020). Relationship between debt and depression, anxiety, stress, or suicide ideation in Asia: a systematic review.
Frontiers in psychology, 11, 1336.
Deloitte (2020), “The Thailand Digital Transformation Survey Report 2020”
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย...ผศ.ดร.กติกา ทิพยาลัย ผอ.ศูนย์พัฒนาแรงงานและการจัดการ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4114 , 4115