ข้าวเหนียว : เมื่อมิติความมั่นคงทางอาหารเป็นตัวกลางขับเคลื่อนโมเดล BCG

04 มิ.ย. 2568 | 07:05 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2568 | 07:22 น.

ข้าวเหนียว : เมื่อมิติความมั่นคงทางอาหารเป็นตัวกลางขับเคลื่อนโมเดล BCG : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย...รศ.ดร.เขมรัฐ เถลิงศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4103

ข้าวเหนียว อาหารที่ผูกพันลึกซึ้งกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินอยู่ของชนชาติไทในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานับพันๆ ปี มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ค้นพบเมล็ดข้าวเหนียวในเครื่องปั้นดินเผาในหลุมฝังศพโบราณอายุประมาณ 5,000 ปี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ขอนแก่น 

นอกจากข้าวเหนียว จะเป็นประธานสำรับอาหารของภาคเหนือ และภาคอีสานแล้ว ยังเป็นของว่าง หรือ ขนมประจำเทศกาลของคนไทยทุกภาค

แป้งข้าวเหนียวยังเป็นวัตถุดิบหลักในการทำขนมไทยพื้นบ้าน และเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสีทาบ้าน

ที่สำคัญคือ ท่ามกลางกระแสรักสุขภาพ ข้าวเหนียวกลายเป็นตัวเลือกชั้นดีทั้งสำหรับตลาดในประเทศและตลาดโลก เพราะเป็นอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไขมันต่ำ อุดมไปด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และไม่มีกลูเตน 

พื้นที่ปลูกข้าวเหนียวนาปีในฤดูเพาะปลูก 2567/2568 ของไทยมีทั้งหมด 13.5 ล้านไร่ ซึ่งกว่าร้อยละ 80 ของพื้นที่อยู่ในภาคอีสาน หลายจังหวัดปลูกข้าวเหนียวเป็นหลัก และเหลือพื้นที่ปลูกข้าวเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร กาฬสินธุ์ แพร่ น่าน ลำปาง ลำพูน

ในมุมมองของเกษตรกร คุณค่าของข้าวเหนียวมาจากความมั่นคงทางอาหาร และความเป็นปึกแผ่นของชุมชน เพราะเกษตรกรปลูกข้าวเหนียวเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรก ที่เหลือเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกในฤดูกาลถัดไป และแบ่งปันกันใช้ในงานประเพณีของชุมชน แล้วจึงทยอยขายผลผลิตที่เหลือเพื่อเป็นรายได้

เกษตรกรนิยมปลูกพันธุ์ กข 6 และ สันป่าตอง เพราะรสชาติดี นุ่มหอม ส่วนพันธุ์พื้นเมือง เช่น เขี้ยวงู ข้าวก่ำ เล้าแตก ข้าวดอ จะปลูกในบางพื้นที่ และมักมีตลาดเฉพาะที่ให้คุณค่ากับข้าวเหนียวเหล่านี้  

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตข้าวเหนียวนาปีของประเทศเฉลี่ย 6 ล้านตันต่อปี ไทยผลิตข้าวเหนียวได้มากที่สุดในโลก แต่มีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยประมาณ 390 กก. ซึ่งน้อยกว่าผลผลิตต่อไร่ของเวียดนาม  ผลผลิตที่ได้เกือบทั้งหมดใช้บริโภคในประเทศ มีที่เหลือส่งออกเพียงประมาณ 140,000 ตันต่อปี 

ปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยตรงเพราะทำให้ผลผลิตลดลง เจอปัญหาโรคพืชโรคแมลงมากขึ้น ความเสี่ยงจากอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่ผันผวนมากขึ้นจนยากจะรับมือ ทำให้ความมั่นคงทางอาหารสั่นคลอน และในขณะเดียวกันเกษตรกรก็ถูกมองในแง่ลบว่า นาน้ำขังที่ทำอยู่สร้างก๊าซมีเทน ไปเพิ่มความสาหัสให้ภาวะโรคร้อน

ดังนั้น การผลักดันให้เกษตรกรยอมรับเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ มาตรฐานและมูลค่าผลผลิตตั้งแต่ต้นทาง ตามโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG model) ที่รัฐบาลประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2564 ก็น่าจะช่วยลดทั้งผลกระทบ ลดการก่อก๊าซมีเทน ลดการใช้ปุ๋ยยูเรียและสารเคมี เพิ่มคุณภาพเมล็ดพันธุ์ หากทำได้สำเร็จ ก็จะสามารถรักษาความมั่นคงทางอาหารไว้ และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้อีกหลายล้านครัวเรือน 

แล้วเกษตรกรพร้อมจะรับเทคโนโลยีหรือไม่ จุดสำคัญคือ เกษตรกรต้องเห็นประโยชน์ใกล้ตัวจากการทดลองใช้ ในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินไปนัก เช่น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ แก้ปัญหาโรคข้าวได้ หรือลดต้นทุนได้จริงในบริบทที่เขาอยู่หรือด้วยต้นทุนที่เขามี 

ดังนั้น ก่อนเริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี ผู้ถ่ายทอดควรจะมองให้ออกว่า เทคโนโลยีดีๆ ที่จะนำเข้าไปให้นั้นตรงกับสิ่งที่เกษตรกรต้องการ และเหมาะกับบริบทเกษตรกรและทุนชุมชนหรือไม่ เพราะเทคโนโลยีที่ดีแต่ถ้าไม่มีระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมรองรับก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  

ในทางกลับกัน หากเทคโนโลยีเหมาะสมและออกแบบแนวทางถ่ายทอดได้ดีจนเกษตรกรยอมรับจริง ก็จะส่งผลให้เทคโนโลยีนั้น แพร่กระจายและปักหลักได้ในชุมชน เพราะข้าวเหนียวเป็นความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงในชีวิต 

ผู้เขียนได้รับโอกาสในการศึกษากลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว จากพื้นที่จังหวัดเชียงราย ลำปาง อุดรธานี  นครพนม ก่อนที่พวกเขาจะเข้าโครงการ BCG-NAGA Belt Road* ซึ่งเป้าหมายหนึ่งของโครงการคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้กับเกษตรกร

ผู้เขียนพยายามหาคำตอบว่า เดิมก่อนที่จะเริ่มโครงการ เกษตรกรที่ลงมือผลิตข้าวคุณภาพสูงอย่างข้าวอินทรีย์ หรือ ลดการใช้สารเคมี หรือเกษตรกรที่สามารถขายเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวคุณภาพดี ซึ่งจะได้ราคาสูงกว่าการขายข้าวเปลือก

พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร มีทุนชุมชนด้านใดสนับสนุน และรายได้ของกลุ่มเกษตรกรเป็นอย่างไร    

เราพบว่า เกษตรกรที่ผลิตข้าวอินทรีย์อยู่แล้ว หรือ พยายามลดการใช้สารเคมีมักเป็นเจ้าของที่ดินเอง ต้องการรักษาคุณภาพพื้นที่และสามารถใช้พื้นที่ตนทดลองแนวทาง หรือ เทคโนโลยีใหม่ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าที่ หรือว่าจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า และมักเป็นเกษตรกรที่ทำนาดำ 

ส่วนกลุ่มที่ทำนาหว่านไม่สามารถผลิตข้าวอินทรีย์ได้ เพราะต้องจัดการวัชพืช แต่การปรับวิธีการทำนาต้องอาศัยความพร้อมเรื่องแรงงาน ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ 

เกษตรกรที่สามารถขายเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียว มักจะทำนาดำเช่นกัน เพราะเกษตรกรจำเป็นต้องเดินแปลงเพื่อตัดพันธุ์อื่น ที่เข้ามาปะปนตลอดช่วงการเจริญเติบโตของข้าว ซึ่งนาดำจะทำได้ง่ายกว่า และมักใช้ที่ดินปลูกข้าวอย่างเดียวแบบเชิงเดี่ยว เพราะจะได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (economies of scales) และการจัดการเนื่องจากการผลิตเพื่อขายเมล็ดพันธุ์ต้องใช้แรงงาน และความประณีตในการตัดพันธุ์ปน

แต่นั่นหมายความว่า เกษตรกรที่อยากทำเกษตรผสมผสานเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงพืชเชิงเดี่ยว ก็อาจไม่เหมาะกับการปลูกเพื่อขายเมล็ดพันธุ์

นอกจากนี้ ยิ่งเกษตรกรปลูกข้าวเหนียวมานานมากเท่าไร โอกาสที่จะปรับเป็นผู้ขายเมล็ดพันธุ์ยิ่งน้อยลง และมีรายได้รวมจากภาคเกษตรน้อยลงด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่า เมื่อเคยชินกับการปลูกในรูปแบบเดิมๆ มานาน การปรับหาแนวทางเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือออกจาก comfort zone จำเป็นต้องมีแรงจูงใจที่สูงพอ 

ที่สำคัญคือ เกษตรกรที่มีระดับทุนมนุษย์สูง ทั้งความเชื่อมั่นในศักยภาพการแก้ปัญหาของตน ทักษะต่างๆ และชอบทดลอง มักเป็นกลุ่มที่ผลิตข้าวอินทรีย์ได้ หรือพยายามลดสารเคมี และสามารถสร้างรายได้จากข้าวเหนียวได้ 

ในทางกลับกัน เกษตรกรที่มีหนี้สินมาก ยิ่งกังวลต่อผลตอบแทน โอกาสที่จะลดการใช้สารเคมี หรือ จะหันมาทดลองใช้ความรู้ใหม่เพื่อขายเมล็ดพันธุ์ก็ทำได้ยาก ระดับทุนทางสังคม เช่น การแบ่งปันผลประโยชน์ในชุมชนที่เป็นธรรม และประเพณีการแลกเปลี่ยนแรงงาน (ลงแขก) สำคัญมากต่อการขายเมล็ดพันธุ์ ที่ต้องพึ่งพิงการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อผลิตให้ได้ตามปริมาณที่ได้รับจัดสรรจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เป็นแหล่งรับซื้อหลักของชุมชน 

ทุนโครงสร้างพื้นฐาน สำคัญต่อการขายเมล็ดพันธุ์ และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เพราะการพัฒนาคุณภาพ หรือการขายเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาตรฐาน เกษตรกรจำเป็นต้องมีแหล่งน้ำและการขนส่งที่สะดวก ระดับทุนทรัพยากรธรรมชาติ ยิ่งอุดมสมบูรณ์มาก เกษตรกรจะต้องการลดการใช้สารเคมีเพราะได้ประโยชน์จากดินดี อาหารจากแปลงนาและไม่ต้องการให้สารเคมีส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม

                                 ข้าวเหนียว : เมื่อมิติความมั่นคงทางอาหารเป็นตัวกลางขับเคลื่อนโมเดล BCG

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการผลิตข้าวอินทรีย์ และข้าวมาตรฐานการเกษตรที่ดี (GAP) ยังไม่ได้เพิ่มรายได้ภาคเกษตรของเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ แม้เกษตรกรจะสามารถขายผลผลิตอินทรีย์/GAP บางส่วนให้แหล่งรับซื้อที่ให้ราคาสูงกว่าโรงสี แต่ข้าวที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ยังต้องขายในราคาข้าวทั่วไป

เมื่อผนวกกับต้นทุนการผลิตข้าว GAP ที่สูงกว่าข้าวทั่วไป อีกทั้งผลผลิตต่อไร่ของข้าวอินทรีย์ที่อาจต่ำกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเริ่มแรก ทำให้การผลิตข้าวคุณภาพสูงไม่ได้เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเท่าใดนัก  

แต่เหตุผลหลักที่เกษตรกรยังผลิตข้าวอินทรีย์ คือ ประโยชน์ด้านสุขภาพที่ได้กับตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ แหล่งรายได้ที่หลากหลายและผลผลิตต่อไร่ส่งผลทางบวกต่อรายได้รวมภาคเกษตรของเกษตรกร ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ควบคู่กับการสร้างรายได้จากกิจกรรมอื่นๆ บนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียว จะช่วยให้เกษตรกรอยู่รอดได้ 

การเข้าใจความต้องการของเกษตรกร ระดับทุนชุมชนและบริบทแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ผนวกกับการออกแบบกระบวนการถ่ายทอดที่ทำให้เทคโนโลยีจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ เพื่อเสริมทุนด้านต่างๆ ในชุมชนควบคู่กันไป เช่น เสริมนวัตกรรมการเงิน เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรจัดการเรื่องทุนหมุนเวียนได้ดีขึ้น

หรือหาองค์กรปลายน้ำที่สามารถเป็นช่องทางตลาดให้ผลผลิตคุณภาพสูงได้ ก็จะทำให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ใกล้ตัว และมีแรงจูงใจที่จะออกจากความเคยชินมาทดลองและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะลดผลกระทบต่างๆ จากโลกร้อนและปลูกข้าวคุณภาพสูงได้

ในโอกาสหน้า ผู้เขียนจะมาเล่าให้ฟังถึงผลการยอมรับเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดจากโครงการ BCG- NAGA Belt Road 

*โครงการ “ยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง สนับสนุนโดย สวทช. (2565-2566)