แค่เข้าใจการเงินพื้นฐานก็ช่วยให้คนตัดสินใจได้ดีขึ้นจริงหรือ?

28 พ.ค. 2568 | 05:31 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ค. 2568 | 05:38 น.

แค่เข้าใจการเงินพื้นฐานก็ช่วยให้คนตัดสินใจได้ดีขึ้นจริงหรือ? : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย รศ.ดร.อจลวรรธก์ วิริยะวิภาต คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงเผชิญกับปัญหา “ไม่มีเงินออม” แม้จะทำงานหนักและพยายามประหยัดสุดความสามารถ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2563 ซึ่งร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในการสำรวจ พบว่า คนไทยมากกว่า 60% ระบุว่าไม่มี หรือไม่มั่นใจว่ามีเงินสำรองเพียงพอที่จะใช้จ่ายได้นาน 3 เดือน หากขาดรายได้หลัก

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย แต่เป็นเรื่องใหญ่ทั่วโลก และสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ในกลุ่มคนที่มีรายได้ใกล้เคียงกัน บางคนสามารถออมเงินได้ ขณะที่อีกหลายคนกลับไม่สามารถทำได้เลย

คำถามคือ... อะไรทำให้คนบางคนสามารถ “อดทน” และ “วางแผนระยะยาว” ได้ดีกว่าคนอื่น?

ความรู้ทางการเงินคืออะไร และจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้จริงหรือ?

เมื่อพูดถึง “ความรู้ทางการเงิน” หรือ financial literacy เราหมายถึง ความสามารถในการเข้าใจและใช้ข้อมูลทางการเงินพื้นฐานในการตัดสินใจเรื่องเงินในชีวิตประจำวัน เช่น ความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ความเสี่ยง การกระจายการลงทุน และมูลค่าเงินตามเวลา

 

ในทางเศรษฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มีแนวคิดว่า ความรู้ทางการเงินอาจช่วยให้คนตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น

• วางแผนการออมได้รอบคอบขึ้น

• เข้าใจความคุ้มค่าระหว่างการใช้เงินวันนี้กับในอนาคต

• หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น

• ตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผลมากขึ้น

กล่าวอีกแบบคือ ความรู้เหล่านี้อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คน “อดทนรอ” เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต และ “วางแผน” แทนที่จะใช้จ่ายตามใจในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนก็คือ… เมื่อคนมีความรู้ทางการเงินแล้ว พฤติกรรมของเขาจะเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่? และถ้าเปลี่ยน... เปลี่ยนเพราะ “ความเข้าใจแนวคิดทางการเงิน” หรือเพราะ “ทักษะการคำนวณ” กันแน่?

นี่จึงเป็นจุดตั้งต้นของงานวิจัยที่พยายามแยกแยะให้ชัดเจนว่า อะไรคือกลไกที่แท้จริงที่ทำให้ความรู้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้

การทดลองภาคสนามในยูเออี

เพื่อหาคำตอบนี้ ผมและเพื่อนร่วมงาน (Gaibulloev et al., 2025) ได้จัดการทดลองภาคสนาม (lab-in-the-field experiment) กับแรงงานทำความสะอาดจำนวน 507 คนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ เช่นประเทศอินเดียและบังกลาเทศ กลุ่มตัวอย่างนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีรายได้น้อยและระดับการศึกษาต่ำ

ผู้เข้าร่วมถูกสุ่มแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม:

• กลุ่มควบคุม: ได้รับการอบรมเรื่องการบริการลูกค้า (ไม่มีเนื้อหาด้านการเงิน)

• กลุ่มอบรมการเงิน: เรียน 4 หัวข้อ ได้แก่ พื้นฐานเลข ดอกเบี้ยและมูลค่าเงินตามเวลา การกระจายความเสี่ยง และเงินเฟ้อ

• กลุ่มอบรมคณิตศาสตร์พื้นฐาน: เรียน 4 หัวข้อ ได้แก่ พื้นฐานเลข เศษส่วน เปอร์เซ็นต์/การเติบโตแบบทบต้น และความน่าจะเป็นหลังอบรม ทุกคนได้เข้าร่วม “เกมวัดพฤติกรรม” เพื่อประเมินผล

                           แค่เข้าใจการเงินพื้นฐานก็ช่วยให้คนตัดสินใจได้ดีขึ้นจริงหรือ?

Time Preference: วัดความอดทนผ่านการ “รอ”

หนึ่งในเกมสำคัญ คือ Time Preference Task หรือ “เกมวัดความอดทน” 

ในแต่ละรอบ ผู้เข้าร่วมจะต้องเลือกระหว่าง:

• ได้รับ 50 ดีแรห์ม (1 ดีแรห์ม ประมาณ 9 บาท) อีก 2 สัปดาห์

• หรือรับเงินมากขึ้นใน 6 สัปดาห์ (รอเพิ่ม 4 สัปดาห์)

ทั้งหมดมี 5 รอบ โดยมูลค่าของเงินที่ได้รับหากรอ จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ 55, 60, 65, 70 หรือ 75 ดีแรห์ม ตามลำดับ หรือถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คือ 10% ไปจนถึง 50% สำหรับการรอเพิ่มอีก 4 สัปดาห์
ทั้งนี้ หลังจากเล่นเกมนี้และเกมอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว เราจะสุ่มเลือกเพียงหนึ่งรอบจากหนึ่งเกม เพื่อใช้ในการจ่ายผลตอบแทนจริง

เราต้องการดูว่า เมื่อข้อเสนอให้ "รอ" น่าสนใจขึ้น คนจะเปลี่ยนใจจาก "ไม่รอ" ไปเป็น "รอ" เมื่อไหร่?

และที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเลือกอย่าง สม่ำเสมอ หรือไม่? เช่น ถ้าในรอบที่สองเขาเลือกที่จะ “รอ” 60 ดีแรห์มในอีก 4 สัปดาห์ เขาควรจะยังคงเลือก “รอ” ในรอบที่ให้มากขึ้น เช่น 65 หรือ 70 ดีแรห์มในอนาคต แต่ถ้าเขาเปลี่ยนใจกลับมาเลือก “ไม่รอ” ทั้งที่รางวัลข้างหน้าน่าดึงดูดยิ่งขึ้น แสดงว่าเขาอาจจะไม่มีความสม่ำเสมอในการตัดสินใจ หรืออาจจะไม่ได้เข้าใจข้อเสนออย่างแท้จริง

ผลลัพธ์: แค่เรียนคณิตฯ ก็ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมได้

ผลที่ได้ชัดเจนมาก :

• กลุ่มอบรม (ทั้งการเงินและคณิตศาสตร์) มีแนวโน้มเลือก “รอ” มากกว่ากลุ่มควบคุม

• กลุ่มอบรมมีจำนวนคนที่มีความ “สม่ำเสมอ” ในการตัดสินใจ มากขึ้น

• กลุ่มที่เรียนการเงินและกลุ่มที่เรียนคณิตศาสตร์ไม่ได้แตกต่างกัน

อย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายควาว่า ผลของการอบรมด้านการเงินอาจไม่ได้เกิดจากความรู้ทางการเงินโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเสริมสร้างทักษะด้านคณิตศาสตร์พื้นฐาน ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปรียบเทียบทางเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลขได้ดีขึ้นด้วย
แสดงให้เห็นว่า แค่เข้าใจพื้นฐานตัวเลข ก็ช่วยให้คนวิเคราะห์ทางเลือก และตัดสินใจได้มีเหตุผลมากขึ้น

งานจากต่างประเทศที่สอดคล้องกัน

งานวิจัยจากเยอรมนีก็พบสิ่งที่คล้ายกัน:

• งานของ Sutter et al. (2020) (ในนักเรียนมัธยมอายุ 16 ปี)

• งานของ Lührmann et al. (2018) (ในนักเรียนอายุ 13-15 ปี)

พบว่า นักเรียนที่เข้าเรียนความรู้ทางการเงิน มีแนวโน้มเลือก “รอ” มากขึ้นเมื่อมีรางวัลในอนาคตให้เปรียบเทียบ

แม้บริบทของผู้เข้าร่วมจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่ผลลัพธ์กลับคล้ายกันอย่างมีนัยยะ

ผมจึงเชื่อว่า ผลลัพธ์เหล่านี้น่าจะสามารถขยายผลและประยุกต์ใช้ได้กับกลุ่มประชากรที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงความรู้ทางการเงิน เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้มีรายได้น้อย หรือแม้แต่เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยของเราเองครับ

ข้อคิดสำหรับประเทศไทย

คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานนอกระบบ เกษตรกร หรือผู้มีรายได้น้อย ยังไม่มีเงินออม และขาดความเข้าใจด้านการเงินพื้นฐาน

คำถามคือ... ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ และสอดคล้องกับบริบทของคนกลุ่มนี้ได้หรือไม่?
หากคำตอบคือ “ได้” งานวิจัยเหล่านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบนโยบายที่เน้นการให้ความรู้ในระดับพื้นฐาน เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินในระยะยาว

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว... ความรู้เล็ก ๆ อาจเปลี่ยนพฤติกรรมใหญ่ ๆ ได้ และความเข้าใจเรื่องเงิน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่มั่นคงขึ้นในระยะยาว


References: 
Gaibulloev, Khusrav, Gerel Oyun, Dina Tasneem, and Ajalavat Viriyavipart. 2025. “Learning to Wait: How Financial and Numerical Literacy Influence Time Preference Decisions.” Unpublished manuscript.
Lührmann, Melanie, Marta Serra-Garcia, and Joachim Winter. 2018. "The Impact of Financial Education on Adolescents’ Intertemporal Choices." American Economic Journal: Economic Policy 10(3): 309-332.
Sutter, Matthias, Michael Weyland, Anna Untertrifaller, and Manuel Froitzheim. 2020. "Financial Literacy, Risk and Time Preferences—Results from a Randomized Educational Intervention." Working Papers in Economics and Statistics, No. 2020-27.