การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน ภายใต้บริบทความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

19 พ.ค. 2568 | 04:22 น.
อัปเดตล่าสุด :19 พ.ค. 2568 | 04:35 น.

การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน ภายใต้บริบทความมั่นคงทางเศรษฐกิจ : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย ผศ.ดร.สินีนาฏ เสริมชีพ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4097

อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum, 2023) ในช่วงที่ผ่านมา อาเซียนได้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีพลวัตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 

โดยข้อมูลจาก ASEAN Statistical Yearbook 2023 (ASEAN Secretariate, 2023) ระบุว่า อาเซียนมีการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเบื้องต้น (GDP growth) เฉลี่ย 4.8% ยกเว้นในปี 2020 ที่ทั่วโลกได้รับผลจาก COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจอาเซียนหดตัว 3.7%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงดังกล่าวเศรษฐกิจอาเซียนได้รับผลกระทบน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น (Resilience) ในการเผชิญกับความท้าทายที่เกิดขึ้น 
 ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (Economic Security) เป็นประเด็นที่เข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจอาเซียนและเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปัจจุบัน

ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่าง “เศรษฐศาสตร์ (Economics)” กับ “ความมั่นคงของประเทศ (National Security)” โดยเน้นที่ความสามารถของประเทศในการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ จากแรงกระแทกจากภายนอก (External Shocks) ความเปราะบาง และภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น 

นโยบายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจาก 3 แนวโน้มหลักคือ 

(1) การเพิ่มความยืดหยุ่น (Resilience) โดยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) 

(2) การปกป้อง (Protection) อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ อาทิเช่น เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ พลังงาน อาหาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 

และ (3) การแข่งขัน (Competition) โดยเมื่อพิจารณาจากมิติความมั่นคงของประเทศ การที่ประเทศอื่นมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า อาจทำให้ประเทศเสียหาย ดังนั้น ประเทศที่มีเศรษฐกิจขั้นสูง (Advanced Economies) จึงมีแนวโน้มที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมในประเทศ และเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ 

ประเทศจะมีการดำเนินนโยบายทางด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยสามารถแบ่งนโยบายออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ

(1) นโยบายที่มุ่งสู่ภายใน (Inward-facing Policies) ที่เน้นการลงทุนในประเทศ เช่น รัฐสนับสนุนภาคเอกชน ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เพื่อประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของประเทศและการสร้างงาน 

และ (2) นโยบายที่มุ่งสู่ภายนอก (Outward-facing Policies) ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับประเทศอื่น เช่น การจำกัดการค้าและการลงทุน ข้อตกลงการค้าเสรี และความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา โดยประเทศที่มีการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้

การดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีผลต่อประเทศคู่ค้าและระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน ในกรณีของสหรัฐอเมริกา ภายหลังการเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา (America First) โดยจากเอกสารข้อเท็จจริง (Fact Sheet) ของทำเนียบขาว (White House) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 มีการประกาศความจำเป็นเร่งด่วน ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การปกป้องอธิปไตย และการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและของประเทศ

โดยแนวนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่ 2 (Trump 2.0) เน้นเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมและแรงงานในประเทศ เช่น การเก็บภาษีศุลกากรเพื่อไม่ให้สินค้านำเข้ามาตีตลาด และเพื่อลดการขาดดุลทางการค้า การบังคับใช้กฎหมายการอพยพอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้แรงงานต่างด้าวมาแย่งงานคนอเมริกัน 

อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกสหรัฐอเมริกา เรียกเก็บภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariffs) สูงเป็นอันดับต้นๆ รองจากจีน โดยประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา (C) ลาว (L) เมียนมา (M) และเวียดนาม (V) ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 45% - 49% ในขณะที่ไทยและอินโดนีเซีย ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% และ 32% ตามลำดับ 

ถึงแม้ในปัจจุบัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศออกไป 90 วัน เป็นเริ่มมีผลในวันที่ 8 กรกฎาคม 2025 แต่ในปัจจุบันยังคงเก็บภาษีขั้นต่ำทุกประเทศเพิ่ม 10% (Universal Tariffs) การดำเนินนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบมากต่อภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) 

รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (Regional Economic Outlook for Asia and Pacific) โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอาเซียนจะเติบโตเพียง 4.1% ในปี 2025 และการเติบโตจะชะลอตัวมาอยู่ที่ 3.9% ในปี 2026 สำหรับประเทศไทย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.8% และ 1.6% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ

การทำความเข้าใจและวิเคราะห์นโยบายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจประกอบการกำหนดกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาเซียน เพื่อเป็นแนวทางในการลดผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา และเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์เพื่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ และความเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต 

                               การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน ภายใต้บริบทความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

อาเซียนมีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2025 เพื่อกำหนดแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน ในการรับมือกับนโยบายของสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มใช้มาตรการจัดเก็บภาษีตอบโต้กับหลายประเทศทั่วโลก สมาชิกอาเซียนเห็นตรงกันว่า จะไม่ใช้วิธีการตอบโต้ทางภาษีกับสหรัฐอเมริกา แต่จะเน้นแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งแบบเจรจารายประเทศ และเจรจาในนามกลุ่มประเทศอาเซียน 

รวมถึงมีการตั้งคณะทำงานด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Geoeconomics Task Force) เพื่อทำหน้าที่ติดตาม ประเมิน และเสนอแนะนโยบายในการรับมือ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับอาเซียน

ในระยะยาว ความมั่นคงทางเศรษฐกิจจะมีบทบาทมากขึ้น ในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียน เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการคุ้มครองทางการค้า (Protectionism) เพื่อความมั่นคงของประเทศ และห่วงโซ่อุปทานที่แตกแยก (Fragmented Supply Chain) 

ดังนั้น เพื่อเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนและเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากแข่งขันในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ อาเซียนควรดำเนินการใน  2 ส่วนคือ 

ส่วนที่หนึ่ง พิจารณาการวิเคราะห์ทางด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดแนวทางเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาค เพื่อให้อาเซียนมีความเข้าใจและสามารถเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยการตั้งคณะทำงานด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของอาเซียนเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และควรมีส่วนดังกล่าวในกลไกของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)

และส่วนที่สอง การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน (ASEAN’s Competitiveness) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้อาเซียนมีความยืดหยุ่น (Resilience) และสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ โดยมีแนวทางในการดำเนินการ 2 ด้านคือ 

(1) การกระจายและขยายตลาดส่งออก รวมถึงการเชื่อมโยงกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงหากมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่ในส่วนของการเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศในอาเซียน (Intra-ASEAN Trade and Investment) ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากการค้าภาคบริการและการค้าดิจิทัล เพื่อเป็นช่องทางเพิ่มความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

การเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนกับประเทศคู่ค้า ที่อาเซียนมีข้อตกลงการค้าเสรีอยู่แล้วในปัจจุบัน และการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจไปยังพันธมิตรใหม่ เช่น ประเทศในกลุ่มเอเชียใต้และตะวันออกกลาง  

และ (2) การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของแรงงาน การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค