KEY
POINTS
เมื่อวานนี้ หลังจากที่ผมได้เดินทางไปร่วมประชุมสัมมนา China-South Asia Business Forum ที่เมืองอฺวี้ซี มณฑลยูนนาน แล้วเสร็จ ก็รีบเดินทางต่อด้วยการเปลี่ยนเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางมายังเมืองเกาสง ไต้หวัน เพื่อเข้าร่วมงาน Asian Conference For Frailty and Sarcopenia ต่อทันที ซึ่งงานนี้เป็นการสัมมนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจมาก เพราะมีนักวิชาการผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายประเทศ เป็นการนำเอาผลงานมาแสดงในที่ประชุม ก็ได้ความรู้อย่างมากมายครับ
งานนี้เป็นการแสดงผลงานทางด้านผู้สูงวัยกับโรคภาวะมวลกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามวัย (Sarcopenia) ทำให้ผมได้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งสาเหตุ อาการ และผลกระทบของโรค รวมทั้งการป้องกันและการรักษา ที่นักวิชาการจากหลากหลายประเทศต่างนำมาแสดงผลงานกันครับ และยังทำให้ทราบว่า มีการนำเอาวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการนำเรื่องของการแพทย์แบบพุ่งเป้า (Precision Medicine) การแพทย์เชิงปัญญาประดิษฐ์ (Health AI & Technology) ระบาดวิทยาของโรค (Disease Epidemiology) โภชนาการและการเผาผลาญ (Nutrition & Metabolism) การบูรณาการด้านสาธารณสุข (Integrated Healthcare) ความเปราะบางทางร่างกายและสติปัญญา (Physical &Cognitive Frailty) และการบูรณาการด้านการดูแลผู้สูงวัย (Healthy Aging & Integrated Healthcare) ฯลฯ มาแสดงเป็นนิทัศน์การและบรรยายบนเวทีโดยผู้ที่นำผลงานทางวิชาการมาแสดงด้วย
สิ่งที่ผมสนใจมาก คือการนำเอาเรื่องของการผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาดูแลผู้สูงวัย โดยเฉพาะในด้านผู้ที่ภาวะมวลกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามวัย (Sarcopenia) นี่แหละครับ เพราะตัวผมเองก็อายุล่วงเลยวัยเลขเจ็ดมาแล้ว จึงมีความสนใจเป็นพิเศษ อีกประการหนึ่ง ก็ได้เห็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เมื่อก่อนเคยเตะฟุตบอลด้วยกันในวัยเรียน จนกระทั่งพอเขามีวัยยังไม่เข้าเลขห้า เขาก็ยังเดินเหินคล่องแคล่วว่องไวมาก แต่มาวันนี้กลับมีอาการก้นปอดหลังค่อม เดินก็ช้าลงเสียแล้ว จึงทำให้รู้สึกว่า นี่เป็นเพราะวัยที่มากขึ้น จึงทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้มานานหลายสิบปี เริ่มมีอาการเสื่อมถอยลงไปเสียแล้ว จึงคิดว่าเขาต้องเป็นโรคภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง(Sarcopenia) แน่ ๆเลยครับ
อันที่จริงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ได้มีเพียงโรค Sarcopenia เพียงโรคเดียว ยังมีโรคที่น่าสนใจอีกสองโรค ได้แก่ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia Gravis) ซึ่งก็เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเช่นเดียวกัน เพียงแต่สาเหตุและอาการของโรคที่แตกต่างกันเท่านั้น จึงมีชื่อเรียกและวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไปครับ
เรามาดูโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS กันก่อนนะครับ โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายค่อย ๆ อ่อนแรงลงไป จนกระทั่งเลวร้ายถึงขั้นใช้การไม่ได้ในที่สุด พูดอธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ “สมองสั่งให้ร่างกายขยับ แต่ร่างกายไม่สามารถทำตามได้” เพราะสายประสาทที่ส่งคำสั่งจากสมอง ไปยังกล้ามเนื้อเกิดความเสียหายหรือหยุดทำงานนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ เราก็ลองนึกภาพดูว่า สมมติว่า “สมองของคนเรา” ก็คือหลอดไฟ ส่วน “เส้นประสาท” ก็คือสายไฟ และ “กล้ามเนื้อ” ก็คือเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าหากสายไฟ (เส้นประสาท) ขาดหรือเสียหาย เครื่องใช้ไฟฟ้า(กล้ามเนื้อ)ก็จะไม่ทำงาน แม้หลอดไฟ(สมอง)ยังสามารถสั่งงานได้อยู่ แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่สามารถทำงานได้อยู่นั่นเองครับ
อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS ต้องอธิบายว่า โรคนี้ไม่ได้มาแบบปุบปับ แต่อาการจะค่อยๆแย่ลงทีละน้อยๆ ในระยะแรกมือจะไม่มีแรง หยิบจับสิ่งของก็ชอบหล่นบ่อยๆ หรือเวลาเดินก็จะไม่มั่นคง ขาอ่อนแรง หกล้มง่าย หรือเวลาพูดก็จะมีปัญหาพูดไม่ชัด หรือเสียงเปลี่ยนไป เวลากลืนอาหารจะมีความรู้สึกว่ากลืนลำบาก นี่คือระยะเริ่มต้นของอาการของโรคนี้แหละครับ
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ระยะกลางของอาการ แขนขาก็จะเริ่มขยับไม่ได้ อาจจะต้องใช้รถเข็น กล้ามเนื้อลีบ น้ำหนักลด บางครั้งอาจจะพูดไม่ได้ ต้องสื่อสารด้วยเครื่องมือบางคนถึงกับกลืนอาหารไม่ได้เลย ต้องให้อาหารทางสายยาง นั่นก็คือเริ่มเข้าสู่อาการของโรคที่รุนแรงขึ้นแล้วครับ ที่สถานบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์”ของผม ก็มีอยู่ท่านหนึ่ง ที่ตอนท่านมาอยู่ใหม่ๆ ก็มีอาการดังกล่าวแล้ว แต่ปัจจุบันเริ่มมีวิวัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ เรามาดูต่อในระยะท้ายของอาการ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะหายใจเองไม่ได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขยับตัวไม่ได้เลยทั้งตัว แต่ “สมองยังรับรู้และคิดได้ชัดเจน” พูดง่ายๆก็คือ “ร่างกายปิด แต่ใจยังเปิด”นั่นเองครับ ซึ่งก็อย่างที่กล่าวมาว่า ถ้าไม่ถึงมือแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ก็เสมือนมนุษย์ต้นไม้นั่นแหละครับ ในความรู้สึกของผู้ป่วย แม้ร่างกายจะอ่อนแรงไปเรื่อยๆ แต่ผู้ป่วยยังมีสติครบ รู้ตัวทุกอย่าง รู้สึกทุกอย่าง ยังคิดได้เหมือนเดิม ยังเข้าใจคำพูด ยังต้องการความรัก กำลังใจ และการสื่อสารจากครอบครัว ผู้ป่วยหลายคนจะรู้สึกเครียด ว้าเหว่ หรือไม่อยากอยู่เป็นภาระลูกหลานอีกต่อไป ลูกหลานทุกคนต้องอย่าลืมว่า คำพูดเพียงเล็กๆ อย่างเช่น “ลูกยังอยู่ตรงนี้นะพ่อ พ่อต้องมีกำลังใจสู้ต่อนะ” ก็จะมีความหมายมากต่อพ่อผู้สู้อยู่ในระยะท้ายของโรคได้เป็นอย่างดีครับ
เรามาดูว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดจากอะไร? ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS กว่า 90%จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นเพราะสาเหตุมาจาก “กรรมพันธุ์” (มียีนผิดปกติ) แพทย์บางท่านอาจเชื่อว่า เกี่ยวกับความผิดปกติของโปรตีนในร่างกาย หรือเกิดจากสารพิษบางชนิด หรือการอักเสบในระบบประสาท แต่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไรแน่ ทำไมบางคนจึงเป็น?
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่มีแนวทางเพื่อชะลอการเสื่อมของโรค และช่วยให้ใช้ชีวิตได้นานขึ้น อีกทั้งยังลดอาการทุกข์ทรมาน และช่วยให้ผู้ป่วยยังรู้สึกมีคุณค่าได้ ในปัจจุบันนี้ก็มีการใช้ยารักษาโรคที่ใช้อาจช่วยให้ชะลอโรคช้าลงได้เล็กน้อย สิ่งสำคัญที่สุด คือ “ความเข้าใจ” และ “กำลังใจ” ผู้ป่วยต้องการคนที่พูดด้วย แม้เขาจะพูดไม่ได้แต่เขายังฟังได้อยู่ นอกจากนั้นยังต้องการคนที่เข้าใจตัวเอง และไม่หงุดหงิดที่เวลาต้องใช้เวลาในการดูแล คนที่ให้ความอบอุ่นและให้กำลังใจ เพราะเขายังรู้สึกทุกอย่างเป็นอย่างดี ตัวผมเองเวลาไปดูผู้ป่วยที่บ้านพักคนวัยเกษียณของผม ผมก็จะพูดด้วยพร้อมกับสัมผัสมือเขา ซึ่งดูจากสายตาของเขา ก็จะสามารถสังเกตได้ว่า เขามีความรู้สึกดีๆกับการที่มีคนมาพูดคุยกับเขาด้วยมิตรไมตรีครับ ดังนั้นจึงอยากจะบอกลูกหลานผู้ป่วยว่า แม้บุพการีจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม เราควรต้องให้ความรัก ความเข้าใจ และกำลังใจอยู่เสมอ ท่านจะได้มีบั้นปลายชีวิตที่มีแต่ความสุขครับ