โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ในผู้สูงวัย 2

22 ส.ค. 2568 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ส.ค. 2568 | 01:14 น.

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ในผู้สูงวัย 2 คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • โรคหลอดเลือดสมองตีบตันซีกซ้ายส่งผลกระทบต่อร่างกายซีกขวา ทำให้เกิดอาการอ่อนแรง มีปัญหาด้านการสื่อสาร การใช้ภาษา ความจำ การกลืน และการมองเห็น
  • การรักษาในระยะเฉียบพลันต้องทำภายใน 4-5 ชั่วโมง (Golden Time) ตามด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3-6 เดือนแรกซึ่งเป็นโอกาสทองในการฟื้นตัว
  • การป้องกันการเกิดโรคซ้ำเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่องของผู้จัดการของผมที่เมียนมา ได้ประสบปัญหาเรื่องโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน จนต้องเดินทางมารับการรักษาที่ “คัยโกเฮ้าส์” ของผม แฟนคลับบางท่านก็สามารถทายออกว่าท่านเป็นใคร? ซึ่งก็มีบางท่านที่ส่งความปรารถนาดีมาอวยพร ขอให้ท่านได้หายจากอาการเจ็บป่วยโดยเร็ว ผมก็ขออนุญาตขอบพระคุณแฟนคลับในความมีไมตรีจิตมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ

เนื่องด้วยท่านได้สูญเสียความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำเรื่องราวทั่ว ๆ ไป หรือการพูดจา หรือแม้แต่ภาษา(ท่านพูดได้ 4 ภาษา) ที่ท่านแยกแยะไม่ออก เนื่องจากหลอดเลือดสมองด้านซ้ายตีบตัน จนเป็นโรคสโตรก จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและสมองอย่างมาก เนื่องจากสมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา การพูด การใช้ภาษา การคิดวิเคราะห์ และการรับรู้ อีกทั้งการใช้มือด้านขวา ที่ดูเสมือนไม่มีกำลังในการหยิบจับสิ่งของ แต่ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับช่วงแรกตอนที่ท่านได้ล้มป่วยลงใหม่ ๆ ซึ่งสามารถพูดได้ว่า ช่วงนี้ร่างกายกลับคืนมาได้เกือบ 70% แล้วครับ

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก มักจะมีอาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาตครึ่งซีกขวา ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด แต่เนื่องจากอาการของผู้จัดการของผม สมองซีกซ้ายได้มีอาการหลอดเลือดตีบตัน จนทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายซีกขวา และแขน-ขาข้างขวาอ่อนแรงหรือขยับไม่ค่อยได้ และจะมีปัญหาด้านการสื่อสาร (Aphasia) ซึ่งสมองซีกซ้ายเป็นศูนย์กลางของการใช้ภาษา ทำให้มีปัญหาในการพูดไม่ชัด พูดไม่ออก พูดแล้วเรียงประโยคไม่ได้ หรือฟังแล้วไม่เข้าใจ ภาษาที่ใช้จึงสับสนไปหมด บางครั้งพูดภาษาไทยปนจีน อังกฤษ หรือบางครั้งก็พูดภาษายูนนาน ภาษาเมียนมา จนคนฟังงงไปหมด

อีกปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้น ก็คือปัญหาการกลืนอาหาร อาจทำให้มีภาวะกลืนลำบาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักอาหารหรือน้ำ และอาจนำไปสู่ภาวะปอดติดเชื้อได้ และอีกหนึ่งอาการ คือการมองเห็น ซึ่งรู้สึกว่าจะมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นในบางส่วนของลานสายตา ซึ่งอาการนี้ ผู้จัดการของผมจะมีปัญหามาก ถึงกับร้องขอแว่นตาเพื่อนำมาใส่ตอนอ่านหนังสือ เพราะท่านเข้าใจว่า ท่านลืมเอาแว่นตาติดตัวมาด้วย ในตอนท่านกลับมาที่ประเทศไทย อีกปัญหาหนึ่ง คือปัญหาด้านสติปัญญาและอารมณ์ ซึ่งทางผมเองก็มีความรู้สึกว่า ผู้จัดการของผมมีปัญหานี้ อาจจะเกิดค่อนข้างจะรุนแรง จากอาการสับสนและสูญเสียความทรงจำ อีกทั้งมีปัญหาในการคิดวิเคราะห์ ทำให้ผมมีความกังวลว่า จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ จนทำให้ท่านเกิดอาการหงุดหงิดมาก จนทำให้เผลอระบายอารมณ์กับคนใกล้ชิดครับ

หลังจากที่ท่านกลับมาอยู่ในการดูแลของทางเจ้าหน้าที่ของผม ทำให้มีโอกาสในการฟื้นตัวจากโรคสโตรก ซึ่งโรคนี้มักจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วยเอง และการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที รวมถึงการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ท่านยังโชคดีที่ช่วงสี่วันแรก ก็ได้รับการรักษาเลย แม้จะช้าไปหน่อยหรือนานเกินกว่าช่วง “Golden Time”ในการรักษา แต่ก็ไม่เกินกว่าระยะทองของการฟื้นฟู ซึ่งต้องอยู่ในช่วง 3-6 เดือนแรกหลังจากเกิดอาการ ที่ยังคงถือเป็น “ช่วงโอกาสในการฟื้นตัว” ผู้ป่วยที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในช่วงนี้ จึงมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีทีเดียว ซึ่งต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยกระตุ้นให้สมอง สร้างวงจรใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสียหาย และช่วยให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงกลับมาแข็งแรงขึ้นเช่นกันครับ

อย่างไรก็ตาม ทางเรายังต้องมีการจัดการปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างฟื้นฟูร่างกาย เช่น การควบคุมโรคประจำตัว ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสโตรกซ้ำ ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าการฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่การดูแลรักษาอย่างถูกวิธี การมีกำลังใจที่ดี และการสนับสนุนจากคนในครอบครัว จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติที่สุดครับ

ทุกคนที่อยู่ในวัยผมขาวทั้งหลาย ผมเชื่อว่ามีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันหรือเป็นโรคสโตรก ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดส่วนใหญ่ มักจะมีเป้าหมายหลัก คือการช่วยชีวิตผู้ป่วย ลดความเสียหายของสมอง และฟื้นฟูสมรรถภาพให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุดครับ ดังนั้นต้องจำไว้เสมอว่า การแก้ไขปัญหา หรือช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ได้แก่ การรักษาในระยะเฉียบพลัน และการฟื้นฟูระยะยาว ในขณะที่การรักษาในระยะเฉียบพลัน (ในโรงพยาบาล) จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ต้องจำไว้เสมอว่า ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาต้องอยู่ภายใน “Golden Time” หรือช่วงเวลาทองที่ไม่เกิน 4-5 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ เพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวและลดความพิการ แนวทางการรักษาส่วนใหญ่ คือการให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic Drug) ซึ่งแพทย์จะให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อละลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดสมอง วิธีนี้จะช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองได้ทันเวลา แต่ต้องทำภายใน 4-5 ชั่วโมงหลังมีอาการ หรือการใส่สายสวนหลอดเลือดเพื่อดึงลิ่มเลือด (Mechanical Thrombectomy) ในกรณีที่ลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่ หรือผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลเกินช่วงเวลาที่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ แพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการนี้ โดยการสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่ขาหนีบ และใช้เครื่องมือเพื่อดึงลิ่มเลือดที่อุดตันออก

ส่วนการฟื้นฟูระยะยาว (หลังออกจากโรงพยาบาล) หลังจากที่ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤติและอาการคงที่แล้ว การฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อฟื้นฟูการทำงานของสมองและร่างกายที่ได้รับผลกระทบ โดยเป็นการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักแก้ไขการพูด ซึ่งถ้าจะเรียกอย่างเป็นทางการ ก็จะเรียกว่า นักอรรถบำบัด เพื่อเป็นการฝึกพูด สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร จะมีการฝึกออกเสียง และฝึกกลืนอย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักอาหาร

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเองถ้าอยากจะหายขาดหรือฟื้นฟูอย่างได้ผล จะต้องทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เช่น ยาลดความดัน ยาควบคุมเบาหวาน หรือยาลดไขมันในเลือด รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การควบคุมอาหาร และการงดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการเกิดสโตรกซ้ำ ถ้าหากไม่เชื่อฟังหรือดื้อ ไม่ยอมรับการรักษา ก็จะหายได้เช่นกัน แต่จะหายไปจากโลกนี้แทนนั่นเองครับ