KEY
POINTS
เมื่อวันพุธที่ 6 ที่ผ่านมา ผู้จัดการของบริษัทผมที่ย่างกุ้ง ได้เดินทางมากรุงเทพฯในฐานะของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมอง(Stroke) อาการค่อนข้างจะสาหัสพอสมควรทีเดียว เพราะช่วงที่ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล จะล่วงเลยช่วงเวลาของนาทีทอง(Golden Time)ไปแล้วหลายวัน ทำให้อาการค่อนข้างจะไม่ค่อยน่าวางใจแล้วนั่นเอง
ในช่วงวันที่ 18 เดือนที่ผ่านมา ผมได้ส่งให้ลูกชายคนที่สองของผมเดินทางไปกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เพื่อสานต่องานของบริษัทที่นั่น ก่อนเดินทางผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้จัดการของผม เพื่อให้ช่วยประสานงานและไปรับที่สนามบิน โดยในขณะที่พูดคุยนั้น ผู้จัดการของผมยังเป็นปกติดีมาก เพราะเขายังได้บอกให้ผมช่วยจับตาดูหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ของไทยเรา เพื่อจะซื้อเก็บไว้เป็นการออมทรัพย์ โดยท่านไม่มีท่าทีว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง(Stroke) เลย หลังจากลูกชายของผมไปถึงกรุงย่างกุ้ง ก็โทรศัพท์กลับมาเล่าว่า “คุณลุงไม่สบาย วันนี้ไม่มาทำงาน เข้าใจว่าแค่ปวดหัวตัวร้อนเท่านั้น” แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกชายผมสังเกตเห็น คือการพูดจาของผู้จัดการจะไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะปกติท่านจะพูดภาษาไทยกับลูกชายผม แต่วันนั้นท่านจะพูดแต่ภาษาจีนกับลูกชายตลอดเวลา ทำให้เขาสังเกตว่าไม่น่าจะเป็นปกติ แต่เขาก็ยังไม่ได้รายงานให้ผมทราบ
ต่อมาอีกสามวัน(วันที่ 4 หลังจากมีอาการ) ลูกสาวของผู้จัดการได้โทรศัพท์มาถามผมว่า สองสามวันมานี้ได้พูดคุยกับพ่อเขามั้ย ผมจึงตอบไปว่าไม่ได้คุยด้วย เพราะลูกชายผมเพิ่งกลับมาจากกรุงย่างกุ้งก็ไม่ได้รายงานอะไร? และผมถามต่อไปว่า มีอะไรหรือเปล่า? เธอจึงบอกว่า วันนี้เธอได้พูดคุยกับคุณพ่อของเธอ ท่านพูดคุยไม่รู้เรื่องเลย ผมจึงรีบโทรศัพท์ไปหา ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมจึงขอร้องให้เพื่อนผมที่เป็นแพทย์อยู่ที่เมียนมาสองท่าน ช่วยไปดูอาการให้ท่านหน่อย และกรุณาช่วยโทรศัพท์มาเล่าอาการให้ผมทราบด้วย หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อนผมจึงโทรมาบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงมาก เพราะดูจากอาการแล้ว น่าจะเป็นโรคหลอดเลือดในสมองอย่างแน่นอน เขาจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หลังจากที่ส่งตัวถึงโรงพยาบาล ก็เลยเวลานาทีทอง(Golden Time)ไปนานถึงสี่วันแล้ว ทางแพทย์ที่โรงพยาบาลในกรุงย่างกุ้ง รีบนำตัวส่งไปทำการตรวจ MRI ทันที และพบว่าหลอดเลือดในสมองตีบตัน(Storke)ไปเป็นที่เรียบร้อยครับ
ผมต้องขออธิบายถึงอาการของโรคหลอดเลือดในสมองหรือ Storke เพราะโรคนี้มีอาการอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทแรก เป็นอาการของหลอดเลือดในสมองอุดตัน จนทำให้การไหลของกระแสเลือดไม่สามารถไหลต่อไปได้ จึงเกิดการโป่งพองถึงขั้นแตก โดยทั่วไปเรียกว่า หลอดเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดสมองแตก เลือดรั่วออกมาในเนื้อสมอง ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคความดันโลหิตสูงนานๆ หรือหลอดเลือดโป่งพอง เลือดที่รั่วจะไปกดเบียดเนื้อสมอง ทำให้สมองบาดเจ็บ จะทำให้ผู้ป่วยพลัดตกหกล้มนั่นเอง อีกประเภทหนึ่งคือหลอดเลือดในสมองอุดตัน (Ischemic Stroke) ซึ่งเกิดจากลิ่มเลือดหรือไขมันไปอุดหลอดเลือดในสมอง ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ สมองบางส่วนจะเริ่มเสียหายอย่างรวดเร็วนั่นเองครับ ทั้งสองอาการนี้ อาการที่สองไม่ได้อันตรายมากเท่ากับอาการแรก แต่จะพบบ่อยกว่าประเภทแรกที่หลอดเลือดในสมองแตก (ประมาณ 80% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด) ในขณะที่ถ้าหลอดเลือดในสมองแตก จะทำให้เป็นอัมพฤกษ์ได้ หรือถ้าอาการหนักมากก็จะเป็นอัมพาตได้เลยครับ
ผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมถึงอาการเบื้องต้นที่เห็นได้ชัด ก็คือ การพูดไม่รู้เรื่อง หรือพูดไม่ชัด การปรับของสมองสับสน นี่คืออาการในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)ทั่วไป ถ้าหากเราเห็นผู้สูงวัยมีอาการดังกล่าว ก็สามารถตั้งข้อสมมุติฐานไว้ก่อนได้เลยว่า น่าจะป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) บางท่านอาจรู้สึกสงสัยว่า อาการที่ว่านี้ จะมีความคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (Dementia)หรือเปล่า? เพราะนั่นเป็นเพราะว่าภาวะดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง เมื่อสมอง “ช็อก” จากการขาดเลือด อาการพูดไม่ชัดในผู้ป่วย Stroke มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า “อะเฟเซีย” (Aphasia) ซึ่งหมายถึงภาวะที่สมองส่วนควบคุมภาษาเกิดความเสียหาย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้อย่างปกติทั่วไป ภาวะอะเฟเซียนี้ เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรวดเร็ว เมื่อหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้สมองส่วนที่รับผิดชอบด้านภาษาหยุดทำงานทันที
เพื่อทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพสมองซีกซ้ายของคนเรา ก็เหมือน “ศูนย์บัญชาการ” ของภาษา ซึ่งมีสองส่วนหลักๆ ที่ทำงานร่วมกัน สมองในส่วนหน้าเรียกว่า (Broca's area) ทำหน้าที่สร้างและเรียบเรียงคำพูดเปรียบเหมือน “ฝ่ายผลิต” เมื่อสมองส่วนนี้เสียหาย ผู้ป่วยจะพูดติดๆขัดๆและออกเสียงได้ยาก บางครั้งก็ไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ได้ แต่จะยังสามารถเข้าใจคำพูดของผู้อื่นได้ ส่วนสมองในส่วนหลัง (Wernicke's area) จะทำหน้าที่ทำความเข้าใจภาษาเปรียบเหมือน “ฝ่ายแปล” เมื่อสมองส่วนนี้เสียหาย ผู้ป่วยจะไม่เข้าใจคำพูดที่ได้ยิน และอาจพูดออกมาเป็นคำที่ไม่มีความหมาย หรือพูดวกไปวนมา แม้จะพูดได้คล่องก็ตาม หรือบางครั้งจะไม่รู้ว่าตนเองพูดภาษาอะไรอยู่ ซึ่งก็เหมือนกับผู้จัดการของผมที่กรุงย่างกุ้งนั่นแหละครับ ดังนั้น อาการพูดไม่รู้เรื่องในผู้ป่วย Stroke จึงเป็นสัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นทันที พร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบเข้ารับการรักษา หากยิ่งล่าช้ามาก ก็จะทำให้การฟื้นตัวยากมากยิ่งขึ้นครับ
หลังจากที่ผู้จัดการของผมได้กลับมาถึงกรุงเทพฯ ทางลูกสาวของท่านก็เล่าให้ฟังว่า ผู้ป่วยมีอาการจำได้บ้างเป็นบางเรื่อง เช่น จำได้ว่าออฟฟิศของผมอยู่ที่ไหน และโรงแรมของผมที่ท่านมักจะมาพักอยู่เป็นประจำ อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาล ทั้งยังขอให้ลูกสาวรีบส่งมานอนที่โรงแรมของผม ในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาที่กรุงเทพฯ ก็ร้องขอให้ลูกสาวพามาพบผมที่บริษัท เป็นต้น แสดงว่าแม้ตัวท่านจะมีอาการพูดไม่ชัดและพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม แต่ก็ยังพอมีความหวังที่จะหายจากอาการนี้ได้ ถ้าหากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีและใกล้ชิด ซึ่งลักษณะของอาการนี้ ถ้าหากคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด รู้จักสังเกตอาการแต่เนิ่นๆ และขอความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีหลังจากพบอาการเหล่านี้ ผมเชื่อว่าการปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาอย่างถูกต้องทันต่อเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ