KEY
POINTS
หลังจากที่ผมได้นำเสนอเรื่องของโลกในยุค BANI World กับยุค VUCA World ก็มีคำถามมาว่า แล้วเราจะต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? ซึ่งถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องบอกว่า เราก็อยู่ของเราเฉยๆไง จะได้เดินดินกินข้าวแกงต่อไปอย่างไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไรเลย แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยกลางคนต่อไปยังวัยสูงอายุ ผมคิดว่า เราต้องเรียนรู้กับการรับมือกับโลกยุคใหม่บ้าง เพื่อไม่ให้เราเป็นคนตกยุคนั่นเองครับ
โลกในศตวรรษที่ 21 กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว จนยากจะคาดเดา VUCA Wrold (Volatility Uncertainty Complexity Ambiguity) ได้กลายเป็นคำที่ใช้อธิบายสภาวะที่องค์กรและผู้คนต้องเผชิญ แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์ได้ยกระดับไปอีกขั้นสู่ยุคที่เรียกว่า BANI World (Brittle Anxious Non-linear Incomprehensible)แล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบาง ความวิตกกังวล และความซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจยิ่งขึ้น ในบริบทของการดูแล ผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความละเอียดอ่อน และต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การไขรหัสและทำความเข้าใจแก่นของ VUCA World และ BANI World จึงเป็นยืดหยุ่นอย่างแท้จริงนั่นเองครับ
ในโลกของ VUCA ต่อด้วย BANI นำมาซึ่งความท้าทายที่ซับซ้อน ในมิติของการดูแลผู้สูงวัยอย่างที่ผมได้ดำเนินกิจการอยู่ ผมคิดว่าประเทศไทยเราต้องทำความเข้าใจความหมายของแต่ละตัวก่อน เริ่มจากตัว V (Volatility)และ B (Brittle) ซึ่งหมายถึงสุขภาพผู้สูงวัย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีภาวะที่เปราะบางสูง รวมถึงระบบสาธารณสุขที่อาจเปราะบาง ไม่พร้อมที่จะรับมือกับวิกฤตที่ผันผวนที่เรากำลังเผชิญอยู่ ส่วนตัว U (Uncertainty) และ A (Anxious) คือการคาดการณ์แนวโน้มสุขภาพในผู้สูงวัย ล้วนเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งนำมาซึ่งความวิตกกังวลสูงในทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม และในตัว
C (Complexity) และ N (Non-linear) นั้นหมายถึง ผู้สูงวัยมักจะมีภาวะเจ็บป่วยหลายโรค ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาไม่เป็นไปตามเหตุผล เชิงเส้นตรงดั่งที่เคยเชื่อถือมา และหากเรามามองไปที่ตัว A (Ambiguity) และตัว I (Incomprehensible) ก็สามารถตีความหมายได้ว่า ข้อมูลด้านสุขภาพที่ท่วมท้นถาโถมเข้ามา และเทคโนโลยีใหม่ๆที่สลับซับซ้อน ทำให้เกิดบางสถานการณ์ที่คลุมเครือ และยากที่จะเข้าใจถึงทางออกที่แท้จริงได้ การไขรหัสความหมายเชิงลึกเหล่านี้ จะช่วยให้เราทำความเข้าใจธรรมชาติของความท้าทาย เพื่อสร้างการดูแลที่ยืดหยุ่น และสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงได้นั่นเองครับ
เมื่อเข้าใจถึงความหมายและบริบทของ VUCA และ BANI World แล้ว เราจึงจะสามารถนำมาซึ่งการวางกลยุทธ์ ในการรับมือและสร้างการดูแลที่เข้าใจและยืดหยุ่น ซึ่งสามารถจะนำมาแปลงเป็นกลยุทธ์ในการดูแลผู้สูงวัยได้ กลยุทธ์แรก ฝ่ายที่ต้องทำในกลยุทธ์นี้ คือ รัฐบาล ที่ควรต้องมีการสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบ (Build Systemic Resilience) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านบุคลากรทางการแพทย์ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ เช่น เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย Big Data Base และโครงสร้างที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อผู้สูงวัย
พัฒนาบุคลากรด้วยการเพิ่มทักษะบุคลากร ให้มีความรู้ด้าน เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (geriatrics ) วิทยาการผู้สูงอายุ (gerontology) ที่มีทักษะในการสื่อสารกับผู้สูงวัยและครอบครัว รวมถึงการจัดการความเครียดของผู้สูงวัย การสร้างวินัยให้แก่ตนเอง ของผู้สูงวัย นอกจากนี้การสร้างแผนสำรองและระบบฉุกเฉิน เตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตที่ไม่คาดคิด เช่น การระบาดของโรคร้าย หรือภัยพิบัติธรรมชาติ ด้วยแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน อีกทั้งต้องสนับสนุนการดูแลที่บ้านและชุมชน ลดภาระของโรงพยาบาล เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ด้วยการพัฒนา Home Healthcare และมีงบประมาณในการสนับสนุนศูนย์ดูแลผู้สูงวัยในภาคเอกชน เพื่อมาลดภาระให้แก่โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย (......ผมเข้าข้างกิจการของตัวเองเสียแล้ว)
กลยุทธ์ที่สอง คือการพัฒนาการสื่อสารและความโปร่งใส (Enhance Communication & Transparency) ด้วยการสร้างการสื่อสารอย่างเห็นอกเห็นใจ สำหรับผู้สูงวัยและผู้ดูแล การสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องอธิบายความไม่แน่นอนของอาการ หรือผลของการรักษาสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดเวทีให้ผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรทางการแพทย์ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้สูงวัย ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวล และสร้างความเข้าใจร่วมกัน เราอาจจะใช้เทคโนโลยีช่วยสื่อสาร เช่น Telemedicine หรือแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ข้อมูลสุขภาพพื้นฐาน และคำแนะนำในการดูแลตัวเองเข้าถึงง่ายขึ้นนั่นเอง
กลยุทธ์ที่สาม ควรจะใช้แนวทางแบบองค์รวม และสหสาขาวิชาชีพ (Adopt Holistic & Interdisciplinary Approach) โดยทีมดูแลสหสาขาวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตวิทยา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลครอบคลุมทั้งมิติ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เพื่อให้ผู้สูงวัยได้มีความสุขในชีวิตบั้นปลายนั่นเองครับ
นอกจากนี้ ยังต้องมีการดูแลสุขภาพเป็นรายบุคคล (Personalized Care) ด้วยการทำความเข้าใจผู้สูงวัยแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่โรคที่ผู้สูงวัยเจ็บป่วยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงภูมิหลัง วัฒนธรรม ความต้องการ และความชอบ เพื่อออกแบบแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด โดยจะต้องมีการประเมินและปรับแผนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสุขภาพของผู้สูงวัยไม่เป็นเชิงเส้น การประเมินผลและปรับแผนการดูแลตามอาการเปลี่ยนไปจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ
กลยุทธ์ที่สี่ ต้องมีการส่งเสริมการเรียนรู้ และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง (Foster Continuous Learning & Adaptation) ด้วยวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ สนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแล ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งต้องมีการทำงานวิจัยใหม่ๆและนวัตกรรมอยู่เสมอ ด้วยการเปิดรับแนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ในการดูแลผู้สูงวัย แม้ว่าผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนในตอนแรก (Non-linear Ambiguous) ด้วยการสร้างความเข้าใจในความไม่เข้าใจ บางครั้งอาจมีสถานการณ์ที่ยากจะอธิบายได้ทั้งหมด การยอมรับในสิ่งที่ไม่เข้าใจ และมุ่งเน้นการหาทางออกที่ดีที่สุด จากข้อมูลใหม่ๆ ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้ สามารถหาได้ง่ายมากจากอินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอครับ
ดั่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ตัวผมเองคิดว่า การไขรหัส VUCA และ BANI ไม่ใช่แค่การรู้ความหมายของคำ แต่คือการเปลี่ยนผ่านกรอบความคิดในการดูแลผู้สูงวัย จากการตอบสนองต่อปัญหา ไปสู่การสร้างระบบที่เข้าใจในความซับซ้อน ยืดหยุ่นต่อความผันผวน และสามารถนำทางผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ แม้ในโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่งใบนี้ การลงทุนในความเข้าใจเหล่านี้ คือการลงทุนในอนาคตของสังคมสูงวัยอย่างแท้จริง ซึ่งผมเองก็นำมาใช้ในการพัฒนาบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์”ของผม ตลอดเวลาที่ผมดำเนินกิจการนี้ ผมจึงไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่เลยครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: