KEY
POINTS
เมื่อวานนี้ ช่วงที่ผมกลับมาจากมัณฑะเลย์ พอลงจากเครื่องบิน ก็ได้มีเพื่อนสนิทท่านหนึ่ง โทรศัพท์เข้ามาหาผม เล่าถึงอาการของตัวเธอว่า ช่วงนี้เธอเหมือนมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผมจึงสอบถามรายละเอียดของอาการ หลังจากได้รับฟังคำบอกเล่า ผมก็ได้แต่แนะนำเธอไปว่า ควรจะรีบไปให้แพทย์ตรวจได้แล้ว อย่าได้คิดไปเองว่าเป็นโน่น นี่ นั่น เพราะเท่าที่ฟังจากการที่เธอเล่าให้ฟัง ผมค่อนข้างจะเชื่อว่า น่าจะเกิดจากการคิดไปเองมากกว่า เพราะว่าเธอมีอาการซึมเศร้าอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งเธอทานอาหารน้อยกว่าปกติ ในอดีตถ้ามีเวลาเราจะออกไปทานอาหารร่วมกันกับเพื่อนๆ เธอจะเป็นคนที่ทานอาหารในปริมาณเยอะกว่าผมมาก แต่หลังจากที่เธอเริ่มมีอาการโรคซึมเศร้า เรามีโอกาสได้มาเจอกันอีกหลายครั้ง สังเกตจากสภาพร่างกายและอาการต่างของเธอ ผิดปกติจากเดิมไปมาก ผมจึงคิดว่า อาการที่เธอเล่าให้ฟังเมื่อวานนี้ เธอน่าจะมีอาการที่เกิดจากสาเหตุของสภาพกายและสภาพจิตของเธอ ที่กำลังเล่นงานเธอเข้าให้แล้วอย่างแน่นอน จึงได้แนะนำให้เธอรีบไปพบแพทย์โดยทันทีครับ
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงค่ำ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบสืบค้นหาบทวิจัย หรือบทความต่างๆมาอ่าน ผมจึงเข้าไปดูในเรื่องของกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้สูงวัย ซึ่งส่วนใหญ่ในงานวิจัยบางบทบอกว่า ถ้าพูดถึงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของผู้สูงวัย คนทั่วไปก็มักนึกถึงความชรา ความเสื่อมของอวัยวะ และการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า ซึ่งปัญหาดังกล่าว เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก นั่นก็คือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะทำให้ผู้สูงวัยไม่สามารถดูแลตัวเองได้ตามปกติ แต่อาจจะไม่ทราบว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนแรงนี้ ไม่ได้เกิดจากสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียว อาจจะมีเรื่องของ “สภาพจิตใจ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นไปได้ครับ เพราะกล้ามเนื้อและจิตใจทั้งสองสาเหตุนี้ มีความเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อก็จะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย เช่น ระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกล้ามเนื้อลดลง เช่น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone Growth Hormone) ซึ่งเกิดจากการดูดซึมโปรตีน และสารอาหารลดลง จึงทำให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลงตามไปด้วย อีกทั้งยังทำให้ใช้กล้ามเนื้อน้อยลง บางท่านที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังติดตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ ก็จะมีอาการที่แย่ลงกว่าคนที่มีอาการปกติทั่วไป แต่ในกรณีของผู้สูงวัยบางท่าน แม้จะไม่มีโรคร้ายแรงอย่างที่กล่าวมา แต่กลับเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ทั้งที่สภาพร่างกายดูเหมือนว่าไม่มีปัญหามากนัก ซึ่งท่านเหล่านั้นส่วนใหญ่ อาการมักจะเกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตใจเสมอ เช่นมีอาการของโรคซึมเศร้า หรือมีความเบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ และการแยกตัวจากสังคมเป็นต้น ซึ่งในกรณีของเพื่อนผมที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะมีอาการเช่นนี้แหละครับ
การสังเกตอาการเบื้องต้นของผู้สูงวัย เป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำ อย่ารอให้ล้มก่อนค่อยทำ เพราะนั่นจะทำให้มาเสียใจภายหลังได้นะครับ ซึ่งในหลายครอบครัว อาจจะไม่รู้ว่าผู้สูงวัยที่บ้าน เริ่มมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะอาการมักจะค่อยๆแสดงทีละน้อยจนดูเหมือนเป็น “ปกติของคนแก่” ทำให้อาจจะมองข้ามไป แต่หากเราสังเกตอย่างตั้งใจ จะพบสัญญาณเตือนสำคัญ เช่น จะเดินช้าลง ยืนขึ้นจากเก้าอี้ลำบาก ทรงตัวไม่มั่นคง ล้มง่าย หรือเกือบล้มบ่อยครั้ง ขาเรียวเล็กลง แขนไม่มีแรงยกของ แม้จะเป็นสิ่งของที่เบาๆ เหนื่อยง่ายขึ้นผิดปกติ ทำกิจกรรมเดิมที่เคยสามารถทำได้ก็ทำไม่ได้ หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในส่วนของทางด้านจิตใจของผู้สูงวัย ก็มักจะมีอาการเงียบผิดปกติ ไม่ชอบพูดคุยไม่สนใจสิ่งรอบตัว มีอาการเบื่ออาหาร กินน้อยลง หรือปฏิเสธอาหารที่เคยชอบ บางท่านก็จะนอนมากเกินไป หรือมีปัญหานอนไม่หลับ หรือบางท่านก็จะไม่มีแรงจูงใจจะลุกเดิน เคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนตนเองมีความรู้สึกหมดคุณค่า วิตกกังวล หรือร้องไห้บ่อยๆ เป็นต้น ซึ่งต้องบอกว่าอาการทางกายภาพกับอาการทางจิตใจ มักจะมีความเชื่อมโยงกัน เมื่อไม่อยากกิน ก็ขาดสารอาหาร เมื่อไม่อยากขยับ ก็กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง แล้วก็ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งก็จะเป็น “วงจรอันตราย” ที่หมุนวนไปนั่นเองครับ
สำหรับการรักษาและฟื้นฟู ผมเชื่อว่าต้องมีการร่วมมือกันหลายด้าน โดยเฉพาะครอบครัวของผู้สูงวัย ต้องมีการให้ความร่วมมือในการรักษาด้วย เพราะแนวทางการดูแลรักษา ของภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้สูงวัย ต้องพิจารณาแบบองค์รวม จึงจะได้ผลดีครับ เช่น การรักษาด้วยอาหารและโภชนาการ เพื่อเพิ่มอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพ เช่น ไข่ ปลา เต้าหู้ ถั่ว นมเสริมโปรตีน หรืออาจจะใช้โปรตีนไข่ขาว ซึ่งในปัจจุบันนี้มีขายทั่วไปหลากหลายยี่ห้อ ถ้าคิดเป็นต่อคนต่อครั้งแล้วราคายังไม่แพงจนรับไม่ได้ครับ หรืออาจจะพิจารณาเสริม กรดอะมิโนจำเป็น เช่น leucine และ HMB (beta-hydroxy, beta- methylbutyrate) ที่ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อก็จะดีมากๆเลยครับ อีกประการหนึ่งคือการดื่มน้ำให้เพียงพอ ป้องกันภาวะขาดน้ำที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือหากมีภาวะพร่อง ก็อาจจะเสริมวิตามิน D, B12, แคลเซียม ทำตามแพทย์สั่งก็จะดีที่สุดเลยครับ นอกจากนี้การออกกำลังกายแบบปลอดภัย เริ่มจากการ “ลุกขึ้น ยืน เดิน” ภายในบ้านวันละหลายครั้ง ใช้ยางยืดหรือลูกบอลบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย ฝึกทรงตัว เช่น ยืนขาเดียว หรือเดินซิกแซ็ก แต่ควรมีผู้ดูแลอยู่ข้างกาย ป้องกันการล้ม หากกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก ควรเข้าร่วมฟื้นฟูในคลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู (rehabilitation)ก็จะดีมากเลยครับ
การดูแลด้านจิตใจ ด้วยการสนับสนุนให้พูดคุยระบายความรู้สึก ไม่บังคับ หรือพาเข้าสังคมที่เหมาะกับวัย เช่น กลุ่มชมรมผู้สูงวัย กระตุ้นความภาคภูมิใจ เช่นให้ช่วยงานเบาๆ หากสงสัยว่ามีภาวะซึมเศร้า ก็ควรพบจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัย อย่าได้อายหรือกังวลใจ บางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาแก้ซึมเศร้า ร่วมกับการบำบัดทางจิต (psychotherapy) ประเมินโรคทางระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อร่วมด้วย ผู้สูงวัยบางรายอาจมีภาวะทางระบบประสาท เช่น Myasthenia Gravis (กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากภูมิคุ้มกัน) ALS หรือโรคกล้ามเนื้อฝ่อลีบ หรือภาวะสมองเสื่อมบางชนิด ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว หากสงสัยว่าจะเป็น ก็ควรพบแพทย์เฉพาะทางประสาทวิทยา (neurologist) เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม
ในกรณีหนึ่งที่เป็นกรณีศึกษา (Case Example) ที่ผมอยากจะนำมาเล่า คือกรณีของคุณยายท่านหนึ่ง ที่อายุ 78 ปี เคยแข็งแรง เดินไปตลาดทุกเช้า แต่หลังสามีเสียชีวิต เริ่มนอนอยู่กับบ้าน พูดน้อยลง ไม่ยอมออกไปข้างนอก กินข้าวน้อย น้ำหนักลดลง 5 กิโลใน 3 เดือน เดินช้าลง จนเกือบจะล้มหลายครั้ง เมื่อลูกหลานพาไปพบแพทย์ พบว่าเป็นภาวะซึมเศร้า ร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากภาวะขาดโปรตีน หลังจากได้รับการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น กรณีตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า หากเราสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิด ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เคยดูรุนแรง ก็สามารถฟื้นตัวได้เช่นกัน
ผมคิดว่าภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้สูงวัย เป็นมากกว่าความชรา เพราะเบื้องหลังของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง อาจมีปัจจัยทางด้านจิตใจซ่อนอยู่ การดูแลที่ดี จึงต้องไม่ใช่แค่ให้อาหารและยาเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจกับความรู้สึกของผู้สูงวัย หรือให้คุณค่าทางจิตใจ หรือสร้างความหมายให้ผู้สูงวัยรู้สึกว่า “ชีวิตยังมีความสำคัญเสมอ” เพื่อคุณภาพชีวิตของบั้นปลายที่ดีครับ