โรคตับอักเสบ (Hepatitis) กับความเสี่ยงในผู้สูงวัยที่ไม่ควรมองข้าม

19 เม.ย. 2568 | 01:10 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2568 | 01:21 น.

โรคตับอักเสบ (Hepatitis) กับความเสี่ยงในผู้สูงวัยที่ไม่ควรมองข้าม คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • สถานการณ์หลังแผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์เสี่ยงต่อการระบาดของโรคตับอักเสบ-A เนื่องจากสุขอนามัยที่แย่ลงและแหล่งน้ำปนเปื้อน ทำให้จำเป็นต้องเร่งหาวัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้สูงอายุ
  • การป้องกันโรคตับอักเสบด้วยวัคซีนมีความสำคัญมากกว่าการรักษาเมื่อเกิดอาการ โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่ภูมิคุ้มกันถดถอย ตับทำงานลดลง และมีความเสี่ยงจากการใช้ยาหลายชนิด ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวเป็นไปได้ยากหรือไม่เต็มที่

เมื่อวันที่ 10 เมษายน ผมได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองอุรุมชี (อูหลู่มู่ฉี) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยภรรยาและลูกอยากให้ผมได้พักผ่อนในวันสงกรานต์ ที่นานๆ จะมีโอกาสได้พักผ่อนวันหยุดยาวๆ สักครั้ง เพราะทั้งปีผมไม่ได้มีวันหยุดทำงานเลย เขาจึงอยากให้ผมได้พักผ่อนยาวๆ ในวันหยุด แต่แม้จะเป็นวันหยุดยาว ก็ไม่วายที่จะต้องคิดถึงชาวเมียนมาที่เมืองมัณฑะเลย์ ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก ในช่วงของภัยพิบัติแผ่นดินไหว สิ่งที่ผมจะต้องคิดคือ จะหาเงินอย่างไรในการจัดซื้อวัคซีน เพื่อช่วยให้กับคนเหล่านั้น เพื่อได้ฉีดป้องกันโรคร้ายที่จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ เพราะวัคซีนแต่ละตัว ต่างก็มีราคาที่สูงมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัคซีนโรคตับอักเสบ-A (Hepatitis-A) ที่มีราคาพันกว่าบาทต่อโดสเลยทีเดียว เพราะผมเชื่อว่า จะมีการระบาดหลังจากนี้ไป คืออหิวาตกโรค โรคบาดทะยัก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคตับอักเสบ-A จะต้องเกิดการระบาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บางท่านอาจจะสงสัยว่าโรคตับอักเสบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมต้องอธิบายว่า “ตับ” เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญยิ่งในการควบคุมระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตน้ำดี การกำจัดสารพิษ การสร้างโปรตีนที่จำเป็น ตลอดจนการเก็บสะสมพลังงาน แต่เมื่อเกิดภาวะ“ตับอักเสบ”ขึ้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ร่างกายเปราะบางมากขึ้น ตับที่ถูกทำลายจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น โรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับ ซึ่งโรคตับอักเสบหมายถึง ภาวะที่มีการอักเสบของเซลล์ตับ อันเกิดจากหลายสาเหตุ โดยที่พบมากที่สุดคือจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งก็แบ่งได้เป็นหลายชนิด ได้แก่ A, B, C, D และ E แต่ส่วนใหญ่เราจะรู้จักคุ้นเคยแต่โรคตับอักเสบ-A และ-B เท่านั้น

แต่ทำไมผมจึงมองไปที่โรคตับอักเสบ-A (Hepatitis-A)เป็นส่วนใหญ่ นั่นก็เป็นเพราะในสถานการณ์หลังเกิดแผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งโดยช่วงเวลาปกติสุขอนามัยที่นั่นไม่ค่อยดีนักอยู่แล้ว ยิ่งจะเลวร้ายมากขึ้นไปอีก เพราะสภาพที่ย่ำแย่ของสิ่งปรักหักพัง รวมถึงซากศพที่ยังคงฝังอยู่ใต้อาคารที่ล่มสลายอยู่ พอฝนตกก็จะเกิดการชะล้างเอาสิ่งสกปรก ไหลลงสู่แหล่งน้ำกินน้ำใช้ แน่นอนว่าการปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสตับอักเสบ-A ก็จะถูกเสพเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ได้ โดยผ่านการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสเจือปนอยู่นั่นเอง

อาจจะมีคนถามว่า แล้วโรคตับอักเสบ-B (Hepatitis-B) จะมีโอกาสแพร่กระจายหรือไม่? ต้องบอกว่ามีโอกาสน้อยกว่า เพราะว่าโรคตับอักเสบ-B ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวจากร่างกาย ที่อาจกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง และเสี่ยงเป็นโรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับ ซึ่งเราจะมักพบมากในสภาวะปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับสถานการณ์แผ่นดินไหว ส่วนไวรัสตับอักเสบ-C (Hepatitis-C) ก็เช่นกัน ตัวนี้จะพบในการติดต่อทางเลือด เช่น จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งจะค่อยไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาต้านไวรัสเท่านั้น ไม่เหมือนกับตัวไวรัสตับอักเสบ-A (Hepatitis-A) ดังนั้นผมจึงได้ให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนมากกว่าตัวอื่นๆ นั่นเองครับ

ในส่วนของไวรัสตับอักเสบ-D (Hepatitis-D) ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับเชื้อตัว -B เท่านั้น ไม่ค่อยพบโดดๆ ตัวเดียว และจะทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น ไวรัสอีกตัวคือไวรัสตับอักเสบ-E ก็จะคล้ายกับตัว-A คือ ติดต่อจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน ในผู้สูงวัยโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคตับอยู่ก่อน อาจเสี่ยงตับวายได้มากกว่าคนหนุ่มสาว เนื่องจากคนสูงวัยภูมิคุ้มกันถดถอยตามวัย เมื่ออายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานช้าลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และการต่อสู้กับเชื้อไวรัสมีประสิทธิภาพก็จะลดลง ทำให้การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน หรืออาจไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ และถ้ามีโรคเรื้อรังร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต หรือโรคหัวใจ ซึ่งทำให้ร่างกายเปราะบาง และเมื่อเกิดภาวะตับอักเสบ ก็จะซ้ำเติมอวัยวะอื่น และนำไปสู่การเสื่อมถอยของระบบร่างกายทั้งระบบ

อีกความเสี่ยงหนึ่งของผู้สูงวัย คือถ้ามีการใช้ยาหลายชนิด (polypharmacy) อาจจะมีผลต่อตับ หรือก่อให้เกิดพิษต่อตับโดยไม่รู้ตัว เช่น ยาลดไข้ ยาลดไขมัน ยาสมุนไพรบางชนิด ฯลฯ เมื่อตับอ่อนแอ การขับยาจะยิ่งลดลง และอาจเกิดการสะสมเป็นพิษ อีกทั้งตับเริ่มเสื่อมสภาพตามอายุ โครงสร้างของตับและจำนวนเซลล์ ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองก็จะลดลงตามวัย หากได้รับความเสียหาย ก็จะฟื้นตัวได้ยากขึ้นกว่าคนวัยหนุ่มสาว อาการโดยทั่วไปของตับอักเสบในผู้สูงอายุ อาจไม่เฉียบพลันหรือชัดเจน แต่อาจจะมีอาการแสดงออกเพียงเล็กน้อยจนไม่เป็นที่สังเกต เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้หรืออาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นต้น

เราจะเห็นว่า โรคทุกโรค ถ้าหากจะมีการป้องกัน ย่อมดีกว่าการรักษาเมื่อเกิดอาการแล้วเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ ที่การรักษาอาจมีข้อจำกัดและซับซ้อน แนวทางป้องกันโรคตับอักเสบในกลุ่มนี้ ได้แก่ ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ-A ซึ่งเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือมีประวัติเคยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรืออยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเช่นในสถานการณ์แผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ส่วนวัคซีนตับอักเสบ-B (Hepatitis-B) ควรตรวจเลือดก่อนว่ามีภูมิหรือไม่? หากไม่มีควรได้รับวัคซีนทันที โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือกำลังฟอกไตอยู่ อย่างไรก็ตาม เราผู้สูงวัย ไม่ว่าโรคอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ต้องใช้คำเตือนตนเองว่า การตรวจร่างกายเป็นประจำ และมั่นสังเกตตนเอง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแหละครับ