ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ Hub สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนาคต

23 พ.ย. 2568 | 23:00 น.

ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ Hub สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนาคต คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • เสนอแนวคิดพัฒนาพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สาย (ไทย) - เมืองท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) ให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ (Logistics Hub) เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยง 5 ตลาดสำคัญ ได้แก่ ไทย จีนตอนใต้ อินเดีย เมียนมา และลาว
  • การจัดตั้งฮับดังกล่าวจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงของของไทย และการพัฒนาฐานโลจิสติกส์ของจีนที่เมืองยวี่ซี เพื่อรองรับการค้ากับอาเซียน
  • ฮับนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า รวมถึงเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง (ถนนสู่ราง) เพื่อเปิดประตูการค้าสู่ประชากรหลายร้อยล้านคน และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับภูมิภาค

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้เดินทางไปกรุงย่างกุ้ง เพื่อเซ็นสัญญาความร่วมมือ(MOU) กับสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจเมียนมา-ไทยภายใต้การดูแลของ UMFCCI และสมาคมการเดินขนส่งทางเรือเมียนมา (MIFFA) ซึ่งทั้งสามองค์กรเป็นภาคเอกชนเมียนมาสององค์กรหลัก และอีกหนึ่งองค์กรเอกชนไทยในประเทศเมียนมา เป็นการเดินหน้าสร้างความร่วมมือ ในการช่วยกันผลักดันเศรษฐกิจการค้า-การลงทุนระหว่างสองประเทศ ในการเซ็นสัญญากันครั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอย่างดีเยี่ยมครับ

ในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ มีเพื่อนสมาชิกบางท่านได้พูดถึงแนวคิดการพัฒนาเมืองท่าขี้เหล็ก-อำเภอแม่สาย ที่มีฯพณฯท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา ท่านได้มีแนวคิดอยากจะสร้างความเชื่อมโยงเมืองท่าขี้เหล็กและอำเภอแม่สาย ให้เป็นจุดบรรจบ 5 ทิศทาง และเป็นกุญแจไขตลาดหลักหลายร้อยล้านคนบนเส้นทางนี้ สู่เมืองสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจแห่งใหม่ ซึ่งเมื่อได้รับฟังสิ่งที่สมาชิกท่านนั้นได้นำมาเสนอนี้ ผมคิดว่าถ้าหากโครงการนี้เกิดขึ้นได้จริง ก็จะสร้างเห็นผลประโยชน์ต่อทุกประเทศอย่างใหญ่หลวงจริง ๆ ครับ

ในยุคนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์และการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ที่สามารถสร้างพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ดังนั้นการเปลี่ยนจากการค้าชายแดนแบบดั้งเดิม ไปสู่การสร้าง “Logistics Hub” เชิงยุทธศาสตร์ จึงเป็นก้าวสำคัญ และมีพื้นที่หนึ่งที่กำลังเปล่งประกายด้วยศักยภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สาย (ไทย) -เมืองท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) ด้วยตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น พื้นที่นี้น่าจะกลายเป็น “จุดบรรจบ” ในอนาคต ที่เชื่อมโยงตลาดขนาดใหญ่ 5 แห่งเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน (ตอนใต้) อินเดีย (เอเชียใต้) เมียนมา (ตลาดในประเทศ) และ ลาว (เส้นทางเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม) การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่นี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้า แต่จะเป็นการ “สร้างตลาดใหม่” ที่มีประชากรรวมกันหลายร้อยล้านคนเลยทีเดียว

จะเห็นว่าศักยภาพและแรงขับเคลื่อนจากโครงสร้างพื้นฐานของความร่วมมือ(ถ้าเกิดขึ้นจริง) ยุทธศาสตร์การสร้าง Logistics Hubในพื้นที่เมืองท่าขี้เหล็ก-อำเภอแม่สาย ย่อมมีรากฐานมาจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็น “ปัจจัยขับเคลื่อน” (Driving Forces) สำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของภูมิภาค เช่น แรงขับเคลื่อนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จากการที่ผมได้เคยไปร่วมประชุมเชิงวิชาการมาที่เมืองยวี่ซี(Yuxi) เมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้รับรู้ว่าประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังเร่งพัฒนาเมืองยวี่ซี (Yuxi) ที่อยู่ทางตอนใต้ของคุนหมิง เป็นสัญญาณชัดเจนว่า เขากำลังรีบเร่งในการสร้างฐานโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการค้ากับอาเซียน ดังนั้น Hub นี้ จึงสามารถใช้ทางหลวง R3A และ R3B เชื่อมเข้าสู่มณฑลยูนนาน รวมถึงเชื่อมต่อไปยัง ทางรถไฟจีน-สปป.ลาวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ประเทศไทยเรา ก็มีโครงการเปลี่ยนโลกของไทย ด้วยรถไฟรางคู่สายเด่นชัย–เชียงของ ซึ่งถ้าหากแล้วเสร็จ จะเชื่อมภาคเหนือของไทยเข้ากับโครงข่ายรถไฟแห่งชาติจีน จะทำให้ Hub ที่ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย ทำให้สามารถส่งสินค้าขนาดใหญ่ (Mass Transport) ไปยังท่าเรือหลักในภาคกลางและภาคตะวันออกของไทยได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงนั่นเอง การเชื่อมโยงเอเชียใต้ของจีน โดยผ่านเมืองท่าขี้เหล็ก ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางที่มีศักยภาพในการเป็น “จุดเริ่มต้น”ของการขนส่งสินค้าจากไทยไปยังอินเดีย (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ผ่านโครงการ Trilateral Highway (ไทย-เมียนมา-อินเดีย) ซึ่งขยายขอบเขตการค้าจากอาเซียนเข้าสู่เอเชียใต้ในอนาคตอย่างแท้จริง

ดังนั้น ในอนาคตถ้าหากแนวคิดนี้บังเกิดผล บทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ Logistics Hub ที่เมืองท่าขี้เหล็ก-อำเภอแม่สาย จะไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงจุดผ่านแดน แต่เป็นศูนย์กลางที่มีบทบาทเชิงรุกในการจัดการและกระจายสินค้า นั่นจะหมายถึงการเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Consolidation & Distribution Center) ซึ่งจะทำหน้าที่จัดเก็บ และกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทย เข้าสู่ตลาดรัฐฉานและเมียนมาตอนบน ในทางกลับกันก็จะทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปจากเมียนมาตอนบน เพื่อเตรียมส่งออกอย่างรวดเร็วไปยังตลาดจีน (ที่จะเน้นการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิและความสด) และส่งลงสู่ระบบรางของไทย อีกทั้งยังเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง (Modal Interchange Point) ที่จะทำหน้าที่เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายระหว่างการขนส่งทางถนน ในเมียนมา-สปป.ลาว เข้าสู่ระบบการขนส่งทางถนนและทางรางในประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว ในการเข้าถึงท่าเรือและตลาดใหญ่ได้อีกด้วยครับ

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อกำหนดอื่น ๆ เช่น การบริหารจัดการความเสี่ยงและการดำเนินงานที่ยืดหยุ่น เพราะการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีความผันผวนสูง จำเป็นต้องมีการวางแผนการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน (Operational Flexibility) ในระดับสูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังต้องมีกลยุทธ์การลดความเสี่ยงด้านความมั่นคง (Security & Stability Risk) และแนวคิด Hub and Spoke ใช้ “Hub สองทาง” (Dual-Hub Strategy) โดยให้เมืองท่าขี้เหล็ก เป็น Mini-Hub (ศูนย์รวบรวมเบื้องต้น) สำหรับการรวบรวมสินค้าในพื้นที่เมียนมาเท่านั้น ขณะที่ อำเภอแม่สาย ควรจะเป็น Major-Hub ที่รับผิดชอบกิจกรรมมูลค่าสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น การจัดการเอกสาร-พิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยแยกความเสี่ยงด้านการลงทุนขนาดใหญ่จากฝั่งเมียนมา

แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีแผนฉุกเฉินในการขนส่ง (Contingency Routing) เพื่อเตรียมแผนสำรองในการใช้เส้นทางการขนส่งอื่น ๆ ทันที เมื่อเกิดการปะทะกันตามชายแดนหรือด่านปิด โดยอาจพิจารณาการใช้ด่านการค้าอื่น ๆ หรือเส้นทางภายใน ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยอย่างแน่นหนา การรับมือกับความผันผวนด้านกฎระเบียบและนโยบาย (Regulatory & Political Risk) จะต้องมีพันธมิตรเชิงรุกในท้องถิ่น (Proactive Local Partners) ในการร่วมมือกับพันธมิตร(พ่อค้าชายแดน)ที่มีความน่าเชื่อถือในพื้นที่ เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาจะทำหน้าที่เป็น “ผู้แจ้งเตือนล่วงหน้า” สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านภาษี ศุลกากร และกฎระเบียบการค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในประเทศเมียนมา เพราะเขาจะเคยชินจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว

นอกจากนี้การลงทุนแบบมีขั้นตอน (Phased Investment)และถูกต้องตามกฎหมายของประเทศสมาชิกที่จะร่วมดำเนินการ โดยควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนขนาดใหญ่ในสินทรัพย์ถาวรทันทีในฝั่งเมียนมา โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย (เช่น Modular Warehouses) ในช่วงเริ่มต้น และการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (Operational Efficiency Risk) โดยเน้นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Focus) อีกทั้งต้องให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้า ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) สำหรับสินค้าเกษตรส่งออกไปยังจีน เพื่อให้ต้นทุนการขนส่งและความเสี่ยงที่มีความคุ้มค่ากับผลกำไร และหากมีการบูรณาการด้านเทคโนโลยี (Technology Integration) ด้วยการติดตั้งระบบติดตามและบริหารจัดการการขนส่ง (TMS) และระบบติดตามสินค้า (GPS Tracking) มาใช้ เพื่อติดตามสถานะของรถบรรทุกและสินค้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความปลอดภัย และเวลาที่ใช้ในการขนส่ง ได้อย่างแม่นยำแม้ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนนั่นเองครับ

การสร้าง Logistics Hub บนสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ที่เมืองท่าขี้เหล็ก-อำเภอแม่สาย ไม่ใช่แค่เป็นการมองหาโอกาส แต่คือการ “วางเดิมพันในอนาคตของเอเชีย” การผสานรวมโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย เข้ากับจุดเชื่อมต่อทางบกที่มีอยู่ น่าจะทำให้เกิดพลังทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ ยุทธศาสตร์ก้าวต่อไป คือการผลักดันความร่วมมือภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการเจรจาเพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวก ในการขนส่งข้ามพรมแดน (CBTA) อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การลดขั้นตอนการตรวจปล่อยสินค้า และการอนุญาตให้รถขนส่งสามารถวิ่งข้ามแดนได้สะดวกยิ่งขึ้น ถ้าหาก Logistics Hub แห่งนี้เกิดขึ้นได้จริง ก็จะทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญ ที่เปิดประตูการค้าไปสู่ประชากรนับหลายร้อยล้านคนใน 5 ประเทศ อีกทั้งยังทำให้สินค้าไทยมีช่องทางใหม่ในการเข้าถึงตลาดใหญ่ และช่วยให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มิอาจมองข้ามได้ครับ