วิพากษ์นโยบายกีดกันการนำเข้าล่าสุดของเมียนมา

17 ส.ค. 2568 | 22:30 น.

วิพากษ์นโยบายกีดกันการนำเข้าล่าสุดของเมียนมา

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเมียนมาประกาศกวาดล้างสินค้าหนีภาษี ตั้งพลเอกโซ วิน กำกับนโยบาย เชื่อว่ามาตรการครั้งนี้กระทบการค้าชายแดนทันที
  • นโยบายมุ่งรักษาสมดุลการค้าและทุนสำรอง หลังวิกฤตโควิด-รัฐประหาร เศรษฐกิจถดถอย ทำให้รัฐต้องเข้มการใช้เงินตราต่างประเทศ
  • มาตรการใหม่เข้มกว่าทุกครั้ง ผู้ผิดกฎหมายเสี่ยงถูกแบล็กลิสต์ ขณะที่ราคาสินค้าอาจพุ่ง เงินเฟ้อ-ต้นทุนแรงงานกดดันผู้ประกอบการไทย

สมณศักดิ์ของพระสงฆ์ในประเทศไทย คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ทางการเมียนมาได้ประกาศนโยบายสกัดกั้นสินค้าหนีภาษีอย่างเข้มงวด ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้มีการแต่งตั้ง ท่านพลเอก โซ วิน ประธานคณะกรรมการปราบปรามการค้าผิดกฎหมาย (Illegal Trade Eradication Steering Committee) และรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการควบคุมดูแลกำกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งชื่อเสียงของท่านพลเอก โซ วิน ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านมีความเข้มข้นต่อความรับผิดชอบงานมากที่สุดท่านหนึ่งของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน จึงเชื่อขนมกินได้เลยว่า การค้าที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งของภาครัฐครั้งนี้ จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนครับ

หันมาดูนโยบายดังกล่าวนิดหนึ่ง ก่อนที่ผมจะพาได้ดูในอดีตกันว่า เคยมีการใช้นโยบายลักษณะดังกล่าวอย่างไร? นโยบายที่นำมาใช้ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อรัษาความสมดุลของการค้าระหว่างประเทศของเมียนมา และการรักษาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลเมียนมาเองได้มีปัญหามาก หลังจากปี 2020 ที่เกิดโรคระบาด COVID-19 เกิดขึ้น และตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกระทั่งเกิดการออกมาต่อต้านรัฐบาล และเกิดการสู้รบกันระหว่างกลุ่มต่อต้านหลายฝ่าย ทำให้เกิดการแทรกแซงของประเทศชาติตะวันตก จนทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยยะในปัจจุบันนี้ครับ

รัฐบาลเมียนมาได้เคยประกาศนโยบายเข้มงวด ต่อการควบคุมการนำเข้าสินค้าขึ้น  โดยผลของการประชุมจนเกิดการประกาศนโยบายกีดกันการนำเข้า ออกมาใช้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ในครั้งนั้นได้มีการควบคุมการขออนุญาตนำเข้าสินค้าอย่างเข้มข้น โดยมีการกำหนดให้บริษัทที่จะขออนุญาต ต้องแสดงความสามารถในการทำรายได้จากต่างประเทศ (Earning Money) เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการนำเข้าสินค้า และกำหนดจำนวนมูลค่าสินค้าและจำนวนใบ Invoice ที่ขออนุญาต รวมทั้งการขอโอนเงินตราต่างประเทศที่จำเป็นต้องโอนออกมาชำระค่าสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากมากๆ

แต่อย่างไรก็ตาม คู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการเมียนมาก็ยังคงมีความต้องการซื้อสินค้า และผู้ประกอบการไทยก็มีความต้องการขาย จึงทำให้เขาเหล่านั้นต้องหาช่องทางในการซื้อ-ขาย หรือการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ขายง่ายและขายดีในท้องตลาด แม้จะถูกหรือผิดกฎหมายก็ตาม เขาก็ต้องหาช่องทางนำเข้าอยู่ดี จึงทำให้นโยบายดังกล่าว ไม่บรรลุตามวัถตุประสงค์เท่าที่ควร จึงทำให้รัฐบาลเมียนมา จึงได้ประกาศนโยบายใหม่อีกครั้ง ดังที่กล่าวมาครับ

นอกจากนโยบายที่รัฐบาลเมียนมาได้ประกาศใช้เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว ทางการเขาก็เคยใช้ในอดีตมาแล้วหลายครั้ง เท่าที่ผมพอจำได้ ก็เคยมีทั้งหมดประมาณ 3 ครั้งแล้วครับ และมีรายละเอียดและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแตกต่างกันไป ซึ่งวันนี้ผมจะนำมาให้พวกเราลองดู และวิเคราะห์เปรียบเทียบกับมาตรการล่าสุดดูนะครับ

นโยบายการกีดกันสินค้าในอดีต ครั้งที่ผมจำได้ดี ก็คือเมื่อช่วงปลายๆ ยุคปี 90 ครั้งนั้นเรียกว่า “นโยบาย Import First Export Letter” นโยบายนี้น่าจะเป็นการผูกขาดการนำเข้ากับการส่งออกอย่างเข้มงวด โดยบริษัทที่ต้องการนำเข้าสินค้า สามารถทำได้โดยการขออนุญาตนำเข้า แต่จะต้องแสดงหลักฐานว่าจะส่งออกสินค้ามูลค่าเท่ากันหลังจากมีการนำเข้า จึงจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้

ซึ่งมาตรการที่ว่านี้ ใช้เพื่อควบคุมการขาดดุลการค้า และรักษาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอย่างรุนแรงในยุคนั้น ซึ่งก็ได้ผลพอประมาณ แต่ก็ทำให้มีผู้ประกอบการส่งออกสินค้าในยุคนั้น ร่ำรวยกับการนำ Exports Money หรือ Earning Money ออกมาขายให้แก่ผู้นำเข้าสินค้า หรือ Exporter ที่จะต้องนำใบดังกล่าวไปแสดงให้รัฐบาล เพื่อลบล้างการ Import นั่นเองครับ

ส่วนความเข้มข้นของนโยบายต้องบอกว่ามากพอสมควร เพราะนโยบายดังกล่าวเป็นมาตรการที่ใช้เพื่อควบคุมการค้าตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา โดยการสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนและยุ่งยาก ทำให้การนำเข้าสินค้าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากไม่มีการส่งออกมารับรองการนำเข้า อีกทั้งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ทำการนำเข้าเพียงอย่างเดียว เพราะการส่งออกสินค้าของเมียนมาในยุคนั้น จะต้องมีภาษีส่งออก(Export Tax) ซึ่งโดยทั่วไปเกือบทุกประเทศในโลก จะส่งเสริมให้มีการส่งออกเพื่อได้ดุลการค้าทั้งนั้น ซึ่งจะมีการชดเชยภาษีให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก แต่ในทางกลับกัน ประเทศเมียนมากลับอาศัยจุดที่จะต้องให้ผู้ประกอบการนำเข้า นำเอาเงินที่ได้จากการส่งออกมาแสดง หลังจากที่มีการนำเข้าสินค้า หากมิเช่นนั้นจะเก็บภาษีย้อนหลังที่หนักมากๆ นั่นเองครับ

หลังจากนั้นในช่วงของปี 2012 รัฐบาลของท่าน เต็ง เส่ง เข้ามาบริหารประเทศ ได้เร่งการพัฒนาประเทศ โดยมีการยกเลิกระบบการเงินภายในประเทศ ที่เคยใช้นโยบายแลกเปลี่ยนเงินตราสองอัตรา ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ Foreign Direct Investment (FDI) และนโยบาย Import First Export Letter ก็ถูกยกเลิกไปด้วย จนกระทั่งเข้าสู่ยุคของ COVID-19 ระบาดและเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารประเทศ

จากเหตุผลจากการต่อต้านดังที่กล่าวมาข้างต้นมาแล้ว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเมียนมาตกต่ำลงจากหลายๆ ปัจจัย รัฐบาลเมียนมาจึงไม่มีทางเลือก ในช่วงของปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบาย Earning Money เพื่อเข้ามาผยุงสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งนโยบายนี้เป็นการปรับเปลี่ยนจากการผูกขาดแบบ Import-Export โดยตรง มาเป็นการกำหนดให้บริษัท จะต้องแสดงความสามารถในการทำรายได้จากต่างประเทศ (Earning Money) ที่มีการส่งออกสินค้าก่อนนำเข้าสินค้า และต้องใช้ใบ Earning Money มาแสดงเพื่อขอใช้สิทธิ์ในการนำเข้าสินค้า ซึ่งในความคิดเห็นของผม คิดว่าอาจจะมีความยืดหยุ่นกว่านโยบายแรกเล็กน้อย แต่ก็นำมาซึ่งความยุ่งยากมากเช่นกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายราย เลือกใช้ช่องทางผิดกฎหมายในการนำเข้าสินค้านั่นเองครับ

การเปรียบเทียบกับนโยบายล่าสุด ที่ทางรัฐบาลเมียนมาประกาศใช้เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่านโยบายที่รัฐบาลเมียนมา นำมาใช้โดยมีเป้าหมายหลักในการ ควบคุมการค้าที่ผิดกฎหมาย โดยใช้กลไกที่สร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ เพื่อบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศและรักษาสมดุลทางการค้าของประเทศ

ในขณะที่นโยบายมุ่งเป้าไปที่การกีดกันสินค้าหนีภาษีนั้นมีวัตถุประสงค์ และวิธีการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายหลักคือการปราบปรามการค้าผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งในระบบและนอกระบบ ที่สร้างความเสียหายต่อรายได้ของรัฐ และมีการลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายที่หนักหน่วงกว่าเดิม เช่น ยกเลิกการดำเนินธุรกิจทันที และมีการขึ้นทะเบียนผู้ที่รัฐบาลไม่ปรารถนาให้เข้ามาทำธุรกิจในเมียนมาอีกในอนาคต (ขึ้น Black List) ซึ่งผมคิดว่าเป็นกฎหมายที่รุนแรงมาก ที่ใช้เพื่อหยุดยั้งการกระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะ

ถ้ามองในมุมกลับกัน การที่ทางการดำเนินการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายนี้ อาจจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่ทำตามกฎหมาย แต่อาจจะส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อทันที สิ่งที่จะตามมาคืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และค่าจ้างแรงานที่จะแพงขึ้น อัตราการจ้างงานที่จะต้องลดลง พวกเราพี่น้องที่ทำการค้าชายแดนอยู่ในขณะนี้ คงต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์ที่จะตามมาก็แล้วกันละครับ