เมื่อวันที่ 21-22 ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางมาร่วมเปิดงาน “Thai Festival in Myanmar” ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของงานนี้ ได้จัดขึ้นโดยสถานทูตไทยประจำเมียนมา ณ กรุงย่างกุ้ง ได้ร่วมกับสำนักการค้าต่างประเทศประจำกรุงย่างกุ้ง กระทรวงพาณิชย์ และกลุ่มพันธมิตร อันประกอบด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจไทย-เมียนมา (TMBC) บริษัท GMM GRAMMY ช่อง ONE 31 และ G-MM TV
โดยมีผู้สนับสนุนหลักคือ บริษัท true dtac จำกัด สายการบิน Myanmar Airway International โรงแรม Novotel Max และผู้ประกอบการจากประเทศไทยอีก 50 บูทสินค้าไทย มาร่วมแสดงสินค้าในงานนี้ด้วย บรรยากาศในงานมีพี่น้องชาวเมียนมา เข้ามาร่วมงานอย่างล้นหลามครับ เฉพาะในห้องจัดการแสดง ก็มากกว่าหนึ่งพันคน นี่ไม่นับรวมข้างนอกอีกกว่าครึ่งพันคน
ใครที่นั่งรถผ่านไปทางถนนแปร ในกรุงย่างกุ้ง ในช่วงเวลาสองวันนั้น จะเห็นว่ารถติดขัดมาก เนื่องจากมีฝูงชนที่มาดูงาน ล้นออกมานอกถนนใหญ่เยอะมา โดยเฉพาะวันแรกของงาน ที่มีเหล่าศิลปินจากประเทศไทย ได้มาร่วมงานกันหลายท่าน ซึ่งผมต้องยอมรับว่า ผมแก่แล้วจึงไม่ค่อยจะรู้จักเหล่าศิลปินเหล่านั้นเกือบทุกท่าน จะรู้จักแต่เพียง คุณหนุ่ม กะลา กับคุณแก้ม วิชญาณี และคุณโดม จารุวัฒน์ เท่านั้น นอกนั้นผมไม่รู้จักเลย
แต่น้องๆ คนหนุ่มสาวชาวเมียนมาที่มาดูการแสดงกว่าพันคน กลับรู้จักศิลปินดีกว่าผมเสียอีก เห็นได้จากเสียงโห่ร้องเวลาที่ศิลปินคนโปรดของเขาเดินออกมาหน้าเวที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คุณฟิล์ม ธนภัทร เสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นห้องไปเลยครับ คนเข้าชมที่สามารถเข้ามาร่วมชมได้ ต้องมาเข้าแถวตั้งแต่ตีสี่-ตีห้าเลยทีเดียว คนที่มาทีหลังที่ตกค้างอยู่นอกห้องแสดง มีมากกว่าครึ่งพันคนเลยทีเดียว
ในความเห็นของผม Soft Power ที่ท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำเมียนมา ฯพณฯท่านมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ ได้จัดทำมาสองปีมานี้ นับว่าได้ผลลัพธ์ที่เกินกว่าคาดจริงๆ ใช้งบประมาณเพียงน้อยนิด แต่สร้างขีดความสามารถในการดึงดูด และสร้างอิทธิพลโดยไม่ต้องอาศัยการบังคับหรือการจ่ายค่าตอบแทนมากนัก เพราะในงานได้จัดให้มีการประกวดการร้องเพลงไทยโดยน้องๆ ชาวเมียนมา ซึ่งก็มีผู้สมัครเข้ามาเกินกว่าสามร้อยคน ทำให้ผู้ตัดสินมีความยากลำบากในการตัดสินอย่างมาก เพราะน้องๆ ผู้สมัครแต่ละคน ก็พยายามใช้ภาษาไทยที่ชัดเจนและร้องได้ไพเราะมาก ซึ่งก็ทำให้เป็นการดึงดูดให้หมู่วัยรุ่นของชาวเมียนมา ได้หันมาสนใจเรียนรู้ภาษาไทยเรา
โดยมีการวางรากฐานที่มาจากวัฒนธรรม ค่านิยมทางการศึกษาและความใฝ่รู้ของเขา จะเห็นได้ว่าในวันนี้ได้ว่ามีโรงเรียนสอนภาษาไทย กระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ มากมาย ก็สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศผ่าน Soft Power ของไทย ให้แผ่ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ซึ่งส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และสร้างประโยชน์ร่วมกันในหลายด้านเลยครับ
ผมอยากให้พวกเราหันมามองมิติทางวัฒนธรรม ที่ได้ผ่องถ่ายมาจากการจัดงานในครั้งนี้ นับว่าเป็นสะพานเชื่อมต่อทั้งสองแผ่นดิน ที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ทำให้วัฒนธรรมไทยและเมียนมา ที่มีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งได้มีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพี่น้องทั้งสองประเทศจะมีการนับถือศาสนาพุทธที่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นรากฐานสำคัญ ที่หล่อหลอมจิตใจผู้คนทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดความเข้าใจและยอมรับในคุณค่าและวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกันอยู่แล้ว เพราะเรายังมีเทศกาลประเพณี เช่น สงกรานต์ ซึ่งในเมียนมาเรียกว่า เต็งจั่น (Thingyan) ก็มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่และคึกคักไม่แพ้ไทยเลย แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยน และยอมรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน
นอกจากนี้ อาหารไทย ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในเมียนมา ร้านอาหารไทยผุดขึ้นมากมายในเมืองใหญ่ๆ เมนูยอดนิยมอย่างเช่น ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ส้มตำ หรือแกงเขียวหวาน ก็เป็นที่รู้จักและชื่นชอบของผู้คนในเมียนมาทุกระดับชั้น บ่งบอกถึงการเข้าถึงและแทรกซึมของวัฒนธรรมการกินของไทยได้อย่างลึกซึ้งทีเดียวเลยครับ
จากการแสดงของกลุ่มศิลปินไทยในครั้งนี้ ที่ทางพันธมิตรที่ร่วมจัดงาน อย่าง GMM GRAMMY ช่อง ONE 31 และG-MM TV ได้จัดส่งให้มาร่วมแสดงในงาน ซึ่งก็นับได้ว่าอุตสาหกรรมบันเทิงของไทยเรา ได้รับการตอบรับจากหนุ่มสาวชาวเมียนมาเป็นอย่างดีเยี่ยม ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน Soft Power ให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง แม้ว่าคณะผู้จัดงานจะไม่ต้องใช้งบประมาณมากมาย เหมือนดังที่ทางภาครัฐของเราได้ตระเตรียมไว้ให้ใช้ก็ตาม ต้องยอมรับว่า สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนเมียนมา โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวได้มากทีเดียวครับ
จาการที่ผู้เข้าร่วมชมงานการแสดง ได้ส่งเสียงกรี๊ดสนั่นห้องจัดงาน ผมเชื่อว่านั่นเป็นเพราะอิทธิพลของละครโทรทัศน์ไทย ภาพยนตร์ไทย และเพลงไทย ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเมียนมา นอกจากนี้ ดาราไทยหลายคนก็เป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับจำนวนมาก ซึ่งเป็นเพราะช่องโทรทัศน์ของเมียนมา มักจะนำเอาละครไทยไปออกอากาศที่นั่น พร้อมทั้งทำคำบรรยายหรือพากย์เป็นภาษาเมียนมา ทำให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทยถูกส่งผ่าน ไปยังผู้ชมชาวเมียนมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการท่องเที่ยว ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power ที่แข็งแกร่ง ทำให้มีชาวเมียนมาจำนวนมากอยากที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง และซึมซับวัฒนธรรมด้วยตัวเองด้วยครับ
ส่วนหนึ่งของแรงส่งที่ทำให้หนุ่มสาวชาวเมียนมา ได้สนใจวัฒนธรรมไทย ผมเชื่อว่าแรงงานเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เขามีความอยากที่จะเรียนรู้ จึงเป็นการเสริมสร้าง Soft Power โดยเฉพาะบุคคลในภาคแรงงานนั่นเอง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันนี้มีคนเมียนมาจำนวนมาก เข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว จึงซึมซับเอาวัฒนธรรมไทยเข้าไป เมื่อแรงงานเหล่านี้กลับประเทศ ก็จะนำทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ ที่ได้รับจากไทยกลับไปด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาศักยภาพของตนเอง แต่ยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรม การทำงาน ค่านิยม และบางส่วนของวิถีชีวิตแบบไทยสู่สังคมเมียนมา
ผมเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ แม้จะเป็นครั้งที่สองแล้ว ต้องมีครั้งต่อๆ ไปเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ผมในนามของประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ขอปวารณาตนว่าไม่ว่าผมจะอยู่ในสถานะใดๆก็ตาม หากยังได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานดังที่กล่าวมานี้ ผมจะเข้าไปร่วมด้วยช่วยกันทุกครั้งอย่างแน่นอนครับ