เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศเมียนมาเป็นประเทศที่อยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลกถึงสองรอย จึงทำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ และก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล แต่ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา บนความโชคดีก็มีโชคร้ายต้องเผชิญมาโดยตลอด บนเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและความท้าทาย ภายใต้การปกครองของรัฐบาลของท่านประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 2010 ประเทศเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ(FDI) ซึ่งนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว
อย่างไรก็ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วนี้ กลับต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่วต่อสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และอนาคตของประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ภายในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบข้ามพรมแดน ที่ส่งผลต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย
หนึ่งในปัญหาที่โดดเด่นที่สุดในประเทศเมียนมา ก็คือการทำลายป่าไม้ และการขุดเอาสินแร่ที่มีอยู่ภายใต้แผ่นดินออกมา โดยไม่สามารถระมัดระวังได้ จึงทำให้จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพื้นที่ป่าไม้หนาแน่น และสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดใน ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องบอบช้ำเหลือคณานับ
เริ่มจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมไม้แปรรูปที่ผิดกฎหมาย การทำไร่เลื่อนลอย และการขยายพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยว เช่น ไร่อ้อยและยางพารา ทำให้พื้นที่ป่าไม้ลดลงอย่างน่าตกใจ การตัดไม้ทำลายป่าไม่เพียงแต่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อวัฏจักรของน้ำ และการควบคุมอุทกภัย ทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในฤดูมรสุม ในพื้นที่ที่อยู่ติดกับแม่น้ำสายหลักสองสาย คือแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำอิระวดี ซึ่งการทำลายป่าไม้ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่น ซึ่งกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและวิถีชีวิตของชุมชนพึ่งพิงป่านั่นเองครับ
นอกจากการทำลายป่าไม้แล้ว การแสวงหาแร่ธาตุและพลังงานที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล รัฐบาลก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั่วถึง จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งสำคัญของการทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะประเทศเมียนมามีแหล่งแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิด เช่น แร่หนักที่หายาก (HREE) ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว หยก และทับทิม ซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้มีการเข้าไปทำเหมือง เพื่อความมั่งคั่งของกลุ่มนายทุน พร้อมทั้งมีการทำเหมืองแร่ที่ไม่ได้มาตรฐาน และขาดการควบคุมที่รัดกุม ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำและดินอย่างรุนแรง สารเคมีที่ใช้ในการทำเหมืองมักจะปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้สัตว์น้ำล้มตายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำจากแหล่งเหล่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการขยายตัวของโครงการพลังงานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ก็สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำ การอพยพย้ายถิ่นฐานของชุมชน และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชนชาติพันธุ์พื้นเมือง แม้โครงการเหล่านี้จะถูกนำเสนอว่า เป็นการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของประเทศ แต่ผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กลับถูกละเลยไป
ที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบเหล่านี้มักจะไม่จำกัดอยู่แค่ภายในดินแดนของเมียนมาเท่านั้น ยังส่งผลมายังประเทศเพื่อนบ้านด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โครงการพัฒนาบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกก ซึ่งมีต้นกำเนิดในรัฐฉานของเมียนมา การทำเหมืองแร่และการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งผลให้ปริมาณตะกอนดินและสารเคมีปนเปื้อนไหลลงสู่แม่น้ำกก ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกกในประเทศไทย ได้แก่ คุณภาพน้ำที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางน้ำ และการลดลงของปริมาณปลา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาชีพประมงพื้นบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของไทย จากการสำรวจของหน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และกรมควบคุมมลพิษ ได้ตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำกกในหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งมีค่าเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้หลายเท่าตัว นอกจากนี้ตะกอนดินที่มากับน้ำ ยังทำให้แม่น้ำตื้นเขิน และมีปัญหาในการเดินเรือในช่วงฤดูแล้ง ปัญหานี้ตอกย้ำให้เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศหนึ่ง สามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของผู้คนในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างไร้พรมแดนจริงๆ ครับ
ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่พึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิต เช่น เกษตรกร ชาวประมง และชนชาติพันธุ์พื้นเมือง ทั้งในเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงน้ำสะอาด ที่ดินทำกินที่อุดมสมบูรณ์ และแหล่งอาหารที่เคยมีอย่างอุดมสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของผู้คนอีกด้วยครับ
บทเรียนจากประเทศเมียนมานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องมาพร้อมกับการบังคับใช้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
การส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการตัดสินใจ รวมไปถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน อาทิเช่น กรณีของลุ่มแม่น้ำกก การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่การสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นหลัง และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
การที่ประเทศเมียนมาจะก้าวข้ามกับดักของ “ความมั่งคั่งที่แลกมาด้วยสิ่งแวดล้อม” ได้นั้น ภาครัฐจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด และนโยบายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้บทเรียนที่ได้รับในครั้งนี้ ผ่านเลยไปโดยไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นครับ