ขุมทรัพย์แร่ธาตุจากเมียนมาที่ไหลสู่ไทย

25 พ.ค. 2568 | 22:30 น.

ขุมทรัพย์แร่ธาตุจากเมียนมาที่ไหลสู่ไทย คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมได้รับโทรศัพท์จากน้องท่านหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยร่วมงานกันห่างๆ ที่ช่วยกันทำการตลาดเครื่องดื่มกระทิงแดง ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ต่อมาน้องท่านนี้ได้ลาออกมาทำธุรกิจของตนเอง ท่านได้โทรศัพท์มาขอให้ผมช่วยในการนำเข้าสินแร่จากประเทศเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผมจึงได้ขอให้ท่านทูตพาณิชย์ไทยประจำประเทศเมียนมา ท่านเอกวัฒน์ ช่วยเหลือติดต่อประสานงานให้ เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะประสบผลสำเร็จ ผมเชื่อมือท่านทูตพาณิชย์ไทยครับ

ต่อมาผมยังได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนและแฟนคลับอีกสามท่าน ให้ช่วยหาสินแร่ที่เมียนมาให้ จึงทำให้ผมสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะผมเชื่อว่า น่าจะมีปัญหาในการส่งออกจากเมียนมาอย่างแน่นอน เพราะมิเช่นนั้น คงไม่มีการขอให้ผมช่วยเสาะหาแหล่งที่ขายพร้อมๆ กันมากถึงสี่รายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเมียนมาเขาสามารถส่งออกสินแร่ซึ่งมีราคาที่สูงได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเงินตราที่ได้มาจากการส่งออก (Earning Money) ได้ เราก็จะสามารถส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่เมียนมาได้มากขึ้นนั่นเองครับ

ต้องเข้าใจว่า ประเทศเมียนมาที่มีอาณาเขตติดกับประเทศไทย เป็นเหมือนคลังสมบัติธรรมชาติขนาดใหญ่ เนื่องจากเมียนมาเป็นประเทศที่มีรอยเลื่อนของเปลือกโลก ตัดผ่านกลางประเทศถึงสองเส้น นั่นคือรอยเลื่อนเมียวอู และรอยเลื่อนสะกาย จึงทำให้ใต้ดินของประเทศเมียนมา ได้สั่งสมเอาทรัพยากรธรรมชาติอยู่เยอะมาก

ไม่ว่าจะเป็น อัญมณีต่างๆ น้ำมันดิบ และสินแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสินแร่หรือแร่ธาตุหลากหลายชนิด ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก แต่สถานการณ์ในวันนี้ ประเทศเมียนมาได้ถูกประเทศฝั่งตะวันตกเข้ามาแทรกแซง จนทำให้การส่งออกสินแร่ต่างๆ มีปัญหามากมาย นี่จึงเป็นโอกาสของไทยเรา ที่เราจะให้เมียนมาใช้ช่องทางออกจากไทยเรา เป็นหนึ่งในประตูสำคัญที่แร่เหล่านี้เดินทางผ่านเข้ามา และส่งออกไปยังปลายทางต่างๆ ในโลกนี้ด้วย 

ดังที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าประเทศเมียนมา มีความหลากหลายทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อน ทำให้มีแหล่งแร่มากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแร่โลหะพื้นฐานไปจนถึงแร่หายากที่ราคาแพงลิบลิ่ว แถมยังมีถ่านหินอีกด้วย ตำแหน่งที่ตั้งที่ติดกับประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้เมียนมากลายเป็นแหล่งสำคัญในการส่งออกแร่เหล่านี้เข้าสู่ภูมิภาคและตลาดโลก ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาไทยเรา ก็จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าพื้นฐาน ในขณะที่นำเข้าสู่ประเทศจีน มักจะถูกนำไปเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงต่อไป 

เราลองมาดูกันว่าในอดีตที่ผ่านมา มีสินแร่อะไรบ้างที่เดินทางจากเมียนมาเข้าสู่บ้านเรากันครับ ตัวแรกเลยก็คือ แร่พลวง เจ้าสินแร่ตัวนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหู แต่สำคัญมากในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ การผลิตโลหะผสมที่แข็งแรง และสารหน่วงไฟ (Flame Retardant) ต่างๆ ประเทศเมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่พลวงรายสำคัญ และส่วนหนึ่งก็ถูกส่งเข้ามาแปรรูปหรือส่งต่อไปยังประเทศอื่นผ่านประเทศไทยครับ  

ตัวที่ 2 คือ แร่ดีบุก สมัยก่อนแร่ดีบุกเป็นพระเอกในอุตสาหกรรมกระป๋อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันนี้ก็ยังสำคัญในหลายด้านการผลิตดังกล่าว โดยเฉพาะการบัดกรี (soldering) ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในอดีตปักใต้บ้านเราก็เคยเป็นแหล่งดีบุกสำคัญ ถ้าจำกันได้สมัยผมเด็กๆ เรียนอยู่ชั้นประถม คุณครูจะให้ท่องจำเสมอว่า สินค้าส่งออกสำคัญของไทยคือ ไม้สัก แร่ดีบุกและข้าวสาร แหล่งผลิตแร่ดีบุกสำคัญก็อยู่ที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงนั่นแหละครับ แต่ปัจจุบันนี้ปริมาณของสินแร่ดีบุกที่ลดลง การนำเข้าจากประเทศเมียนมา จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญครับ

สินแร่ตัวที่ 3 ก็คือ แร่สังกะสี สังกะสีนี่แหละครับที่ใช้กันเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นสังกะสีมุงหลังคา (แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกทดแทนด้วยเมทัลชีทไปแล้ว) หรือการเคลือบเหล็กกันสนิม (galvanizing) การผลิตแบตเตอรี่ หรือแม้แต่ส่วนผสมในยาบางชนิด และเครื่องสำอาง การนำเข้าสังกะสีจากประเทศเมียนมา เพื่อทดแทนผลผลิตจากภายในประเทศที่ลดลง ช่วยเสริมความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในไทยได้เป็นอย่างมากครับ

ตัวที่ 4 ก็คือ ถ่านหิน แม้โลกจะมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด แต่ถ่านหินก็ยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้า และอุตสาหกรรมบางประเภทในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย การนำเข้าถ่านหินจากประเทศเมียนมา จึงยังคงมีอยู่เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน

นอกจากที่ส่งมายังประเทศไทยแล้ว ประเทศเมียนมายังส่งออกสินแร่ที่สำคัญของโลก ไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย ในทีนี้หมายถึงกลุ่มที่พิเศษหน่อย นั่นคือ HREEs (Heavy Rare Earth Elements) หรือ “แร่ธาตุหายากน้ำหนักมาก” (คำว่าน้ำหนักมากไม่ได้หมายถึง น้ำหนักของตัวสินแร่นะครับ แต่หมายถึงน้ำหนักของอะตอมที่มีอยู่ในแร่สูง) อย่างเช่น แร่ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และ แร่เทอร์เบียม (Terbium) แม้ชื่อจะฟังดูซับซ้อน แต่แร่ธาตุเหล่านี้ คือหัวใจสำคัญของเทคโนโลยี ที่เราใช้กันทุกวันนี้เลยนะครับ

แร่ดังกล่าวเป็นส่วนประกอบของ แม่เหล็กพลังสูง เราลองนึกถึงมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) กังหันลมยักษ์ที่ผลิตไฟฟ้า หรือแม้แต่หูฟังตัวจิ๋วที่เราใช้ สินแร่ HREEs ทำให้แม่เหล็กเหล่านี้มีพลังสูง ทนทานต่อความร้อน ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ HREEs ยังฝังอยู่ในอุปกรณ์ไฮเทค เช่น สมาร์ทโฟนของเรา จอคอมพิวเตอร์ ระบบเลเซอร์ หรือแม้แต่เครื่องมือทางการแพทย์อย่าง MRI ก็ยังต้องพึ่งพาคุณสมบัติพิเศษของ HREEs เหล่านี้ และนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตครับ

ดังที่ผมเคยเล่าในบทความนี้ว่า ประเทศเมียนมาเป็นแหล่งสำคัญของ HREEs ที่เข้ามาในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก การที่ประเทศเมียนมามีแหล่ง HREEs ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เมียนมามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลกนี้ครับ

สำหรับการค้าสินแร่ระหว่างประเทศเมียนมากับไทยนั้น มีทั้งโอกาสและความท้าทาย โอกาสคือเราได้วัตถุดิบสำคัญมาใช้ในอุตสาหกรรมในราคาที่แข่งขันได้ และประเทศเมียนมาก็มีรายได้จากการส่งออก (Earning Money) ซึ่งก็จะช่วยในการทำให้มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การใช้นโยบาย Earning Moneyของเขา และนโยบายการใช้ใบอนุญาตนำเข้าสินค้าได้ผ่อนคลายลง ซึ่งก็จะทำให้เราส่งสินค้าเข้าประเทศเมียนมาได้สะดวกขึ้นนั่นเองครับ แต่ความท้าทายอยู่ที่การจัดการเหมืองแร่ให้ยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงความโปร่งใสในการค้าขายด้วย แต่ถ้าหากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมายังไม่คลี่คลายลง ก็ยังคงยากที่จะทะลุผ่านสันติสุขได้ง่ายๆ ครับ 

ดังนั้น ครั้งต่อไปเวลาที่เราใช้ สมาร์ทโฟน ขับรถยนต์ไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์  หรือแม้แต่มองไปที่กังหันลม หรือเวลาที่เราไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แล้วต้องได้ใช้อุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น X-Ray การทำ TC scan หรือ MRI เราก็คงต้องนึกถึงขุมทรัพย์ใต้ดินจากเมียนมา ที่เดินทางข้ามพรมแดนมาถึงเราดูนะครับ! เป็นเรื่องน่าสนใจว่าแร่ธาตุเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกของเราแค่ไหนครับ