สายธารน้ำใจจาก "ไทยสู่เมียนมา" ยังไหลมาไม่หยุด

27 เม.ย. 2568 | 22:30 น.

สายธารน้ำใจจาก "ไทยสู่เมียนมา" ยังไหลมาไม่หยุด คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วงกลางวันของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา แผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ประเทศไทยเรามีหลายท่านที่อาจจะได้รับข่าวสารที่ไม่ครบถ้วน จึงไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริงในที่เกิดเหตุ ว่ามีความรุนแรงหรือร้ายกาจขนาดไหน? หรืออาจจะเป็นเพราะว่า ข่าวที่ออกมาจากประเทศเมียนมามีน้อยเกินไป อีกทั้งข่าวของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินย่านจตุจักรที่ถล่มทั้งตึก ทำให้การรับรู้ข่าวสารจากเมียนมาจึงน้อยไปนิด วันนี้ผมอยากจะนำเรื่องราวต่างๆ ที่ทางรัฐบาลและเอกชนของไทยเรา ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย มาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกันอีกครั้งนะครับ

หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ ทางสถานทูตไทยประจำประเทศเมียนมา ณ กรุงย่างกุ้ง ได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ประจำประเทศเมียนมา และภาคเอกชนไทยโดยการนำของสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา หรือ Thai Business Association in Myanmar :TBAM ได้ร่วมกันระดมสรรพสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงค์ชีวิต ขึ้นไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งข่าวดังกล่าว ในประเทศไทยเราไม่ค่อยได้มีใครได้รับรู้เท่าใดนัก? แม้การช่วยเหลือจะมีจำนวนที่มากกว่าอีกหลายประเทศที่เป็นข่าวก็ตาม นี่เองที่ทำให้ผมคิดว่า คนไทยที่ทำความดี มักจะไม่ค่อยชอบแสดงออกนั่นเอง  

หลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ในเวลาต่อมาทางกองทัพไทยโดยชุดเฉพาะกิจของกรมยุทธการทหารบก ก็ได้ส่งกำลังพลจำนวน 55 นาย ประกอบด้วยหน่วยค้นหา และหน่วยกู้ภัย (USAR) หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน และทีมสื่อสาร เพื่อเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย ให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลเมียนมา อีกทั้งยังช่วยดูแลคนไทยในพื้นที่เกิดภัยพิบัตินั้นด้วย โดยในช่วง 2-3 วันแรกที่เดินทางไปถึงประเทศเมียนมา ผมก็ทราบข่าวมาว่า เนื่องจากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ถูกตัดขาด เพราะเกิดจากแรงสนั่นสะเทือน ทำให้เข้าไปยังไม่ถึงพื้นที่เมืองมัณฑะเลย์ แต่ก็ได้ไปช่วยเหลือระหว่างทาง เช่น ที่กรุงเนปิดอร์ เมืองตองอู เมืองมิทตี่ล่า เป็นต้น ก็ได้มีความเสียหายมากด้วยเช่นกัน

อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศไทย ยังได้ร่วมกับทางการมาเลเซียประสานงานช่วยเหลือในพื้นที่มัณฑะเลย์และสะกาย โดยเน้นการจัดการประสานงานความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา โดยการนำของท่านพลเอก ดร.วิชิต ยาทิพย์ ก็ได้ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือ ซึ่งผมก็ได้เห็นข่าวในเวบไซต์ของสมาคมฯ ซึ่งได้ประกาศให้ผู้มีจิตเมตตาเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันบริจาคด้วย

นอกจากนี้ยังมีสมาคมไทย-พม่าเพื่อมิตรภาพ โดยฯพณฯท่านอดีตเอกอัครราชทูตบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ นายกสมาคมได้มอบให้สถานทูตไทยประจำประเทศเมียนมา โดยฯพณฯท่านเอกอัครราชทูต มงคล วิศิษฏิ์สตัมภ์ เป็นผู้แทนในการบริจาครถแบ๊คโฮ หนึ่งคันมูลค่า 1 ล้านบาท เพื่อช่วยในการใช้กอบกู้พื้นที่ และเคลื่อนย้ายร่างคนที่เสียชีวิตภายใต้ซากปรักหักพัง และรื้อถอนซากสิ่งก่อสร้างที่พังทลายด้วย ซึ่งนี่เป็นการช่วยได้มากทีเดียว เพราะในระยะแรกๆของการเกิดเหตุฯ เราก็ได้เห็นภาพประชาชนชาวมัณฑะเลย์ ใช้มือเปล่าและอุปกรณ์จอบ เสียม ที่มีอยู่ เข้าไปขุดคุ้ยหาผู้ที่ยังรอดชีวิตด้วยความยากลำบาก ก่อนที่นักกู้ภัยจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และนักกู้ภัยจากประเทศรัสเซียจะเข้าไปถึงครับ 

ในส่วนของภาคเอกชนไทยที่ทำธุรกิจอยู่ในเมียนมา ซึ่งมีอยู่หลายบริษัท อาทิเช่น บริษัทในเครือสหพัฒน์พิบูล ร่วมกับพันธมิตร เช่น มูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา และบริษัท นันทวัน จำกัด (Thai Obayashi Corporation Limited) ได้ส่งมอบสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภค ที่มีมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท ผ่านกระทรวงการต่างประเทศของไทย กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน เพื่อเข้าไปบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยทั้งในประเทศไทยและในประเทศเมียนมา และยังมีบริษัท CP Motor Myanmar จำกัด บริษัท แม็คโคร เมียนมา จำกัด เป็นต้น ผมคงไม่สามารถกล่าวถึงได้ทั้งหมด เพราะมีบริษัทอีกเยอะมาก เพียงแต่อยากจะแชร์ให้กับชาวเมียนมา ที่เป็นแฟนคลับของผม ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยที่คอยติดตามอ่านคอลัมน์นี้อยู่ทราบว่า ทุกๆคนที่เป็นคนไทย ต่างมีความห่วงใยในความยากลำบากที่ชาวเมียนมา กำลังเผชิญอยู่ทุกคนครับ

ในประเทศไทยเราเอง ทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ที่ผมรับหน้าที่เป็นประธานอยู่ ก็ได้ร่วมกันระดมความช่วยเหลือกันอยู่ โดยตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผมก็ได้ระดมเงินจากผู้มีจิตศรัทธา เพื่อจัดซื้อหาวัคซีนที่มีความจำเป็นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งผมเชื่อว่าในอีกไม่กี่วัน จะต้องมีโรคระบาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อาทิเช่น โรคบาดทะยัก (Tetanus) โรคอหิวาตกโรค (Cholera) ที่ โรคไทฟอยด์ (Typhoid) โรคตับอักเสบ-เอ(Hepatitis A) และโรคไข้หวัดใหญ่(Influenza) ซึ่งหลังจากที่ผมกระจายข่าวออกไปทางสื่อ ก็มีผู้มีจิตเมตตาหลายหน่วยงาน เข้ามาร่วมบริจาคเงินในการซื้อหาวัคซีนเหล่านั้นมาให้ ผมคงขออนุญาตไม่เอ่ยนามนะครับ เพราะเยอะมากจริงๆครับ เงินที่ได้มาทั้งหมดสามล้านกว่าบาท ถ้าจะเอ่ยนามถึงทุกท่านคงจะยากมาก เลยขออนุญาตใช้สื่อนี้ กล่าวขออนุโมทนาบุญถึงทุกๆท่านนะครับ

สิ่งที่น่าชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ก็คือมีสถานพยาบาลหลายแห่ง ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เข้ามาร่วมทำงานนี้เพื่อให้งานประสบผลสำเร็จนั่นเอง เริ่มจากโรงพยาบาลเอกชนในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาที่มีทั้งหมด 4 แห่ง และกลุ่มแพทย์อาสาที่มีดร.ซู มน เมี่ยน เป็นแกนนำ มาร่วมกันในการที่จะเข้าไปฉีดวัคซีนให้ และโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย โดยการนำของโรงพยาบาลเมดพาร์ค โรงพยาบาลสุขุมวิท กลุ่มโรงพยาบาลบางประกอก 9 และโรงพยาบาลสมิติเวช เป็นต้น ที่ช่วยเหลือในด้านการแพทย์  เวชภัณฑ์ และยารักษาโรค อีกทั้งการช่วยให้คำแนะนำต่างๆ ที่ผมในฐานะคนธรรมดาที่ไม่ใช่แพทย์ ย่อมไม่เข้าใจในการดำเนินการได้ครับ

ยังมีอีกหลายองค์กรที่ติดต่อเข้ามาหาผม เพื่อหาช่องทางเข้าไปช่วยเหลือประชาชนชาวมัณฑะเลย์ ที่กำลังประสบภัยอยู่ แม้จะยังสามารถทำได้ครั้งเดียวจบ เพราะความเสียหายครั้งนี้ใหญ่หลวงจริงๆ โดยบ้านเรือนของประชาชนและวัดวาต่างๆที่พังทลาย มีมากถึงเกือบครึ่งเมือง ประชาชนที่ประสบภัยก็มีมากกว่าล้านคน ดังนั้นการฟื้นฟูยังคงต้องมีต่อไปอีกยาวนานครับ