ประเทศเมียนมา เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่น่าเห็นใจมากที่สุด ในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด เพราะ ณ วันนี้ต้องเผชิญกับวิกฤตรอบด้านที่ซับซ้อน และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านภัยธรรมชาติที่เกิดแผ่นดินไหว การเมืองและความมั่นคงทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นมา ทำให้ประเทศเข้าสู่สภาวะความไม่สงบอย่างถาวร และเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองมัณฑะเลย์ วิกฤตการณ์ก็ยิ่งซ้อนทับในระดับที่ยากจะแก้ไขได้ง่ายครับ
ข่าวล่าสุดที่ได้เห็นกัน แม้ที่เมืองลาซิว(Lashio) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือรัฐฉาน (ภาคใต้ของรัฐฉานเมืองหลวงคือเมืองตองจี) ทหารของกองกำลังชาติพันธุ์ได้ถอนตัวออกจากเมือง โดยส่งมอบเมืองให้แก่ทหารฝ่ายรัฐบาล ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? เพราะสถานการณ์ทางรัฐอื่นๆ อาทิเช่น รัฐกระหยิ่น (กองกำลังกระเหรียงหลายฝ่าย) หรือรัฐฉานติดต่อกับรัฐกระฉิ่น(กองกำลังตะอ่าง) ยังมีข่าวของการสู้รบกันอยู่นั่นเอง
ผมอยากจะลองวิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะหลังเกิดแผ่นดินไหว ความเคลื่อนไหวของกองกำลังชาติพันธุ์ สถานการณ์ในเมืองยุทธศาสตร์อย่างเมืองลาซิว(Lashio) ปัญหาผู้ลี้ภัย รวมถึงการประเมินความเป็นไปได้ในการเลือกตั้ง และบทบาทของประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมาให้ทุกท่านลองอ่านดูนะครับ
เริ่มจากสถานการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่เมืองมัณฑะเลย์และเมืองใกล้เคียง จนกระทั่งไล่ลงมาถึงเมืองหลวงเนปิดอร์ และรัฐฉานตอนบนบางส่วน เมื่อภัยธรรมชาติซ้ำเติม สงครามที่กำลังร้อนแรงในรัฐฉานตอนเหนือ พื้นที่ใกล้พรมแดนจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางจากความขัดแย้ง ระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังชาติพันธุ์อยู่แล้ว ความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โครงสร้างพื้นฐาน หรือชีวิตประชาชนที่เสียหาย แต่ยังส่งผลให้การสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว ต้องชะลอลงชั่วคราว เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องหันไปจัดการกับผลกระทบทางมนุษยธรรม และการดูแลประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขของความเสียหายดังกล่าว รัฐบาลทหารเมียนมากลับถูกวิจารณ์ว่า ให้ความช่วยเหลือประชาชนล่าช้า และจำกัดการเข้าถึงขององค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทำให้หลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ยังคงขาดแคลนการช่วยเหลือพื้นฐาน เช่น ยา อาหาร น้ำสะอาด และที่พักชั่วคราว ซึ่งผมก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ภาพที่ออกมาจะดูไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งในอนาคตอันใกล้นี้ ฤดูฝนใกล้เข้ามาทุกที การเก็บซากปรักหักพังในหลายพื้นที่ ก็ยังไม่สามารถทำได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ นั่นอาจจะเป็นสาเหตุในมีการระบาดของโรคระบาดต่างๆ แพร่ออกสู่ประชาชนได้นั่นเอง
ต้องไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า สถานการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ประเทศเมียนมาที่ไม่เหมือนเดิม กองทัพเมียนมาและกองกำลังฝ่ายต่อต้านของชาติพันธุ์หลายกองกำลัง เช่น KIA, TNLA, AA และ MNDAA ได้เปิดประตูสู่ความรุนแรงครั้งใหม่ทั่วประเทศ ผนวกกับประชาชนทั่วประเทศออกมาต่อต้านผ่านขบวนการ CDM (Civil Disobedience Movement) และต่อมาเกิดกลุ่มต่อต้านติดอาวุธที่เรียกว่า People’s Defense Forces (PDF) สถานการณ์ภายในประเทศจึงกลายเป็นสงครามกลางเมืองโดยพฤตินัย กองทัพฝ่ายรัฐบาล แม้จะควบคุมเมืองหลวงเนปีดอว์ ย่างกุ้ง และเมืองใหญ่บางแห่งได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า พื้นที่ชนบทหลายแห่ง ถูกควบคุมโดยฝ่ายต่อต้าน โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกของประเทศ ทำให้เมียนมากลายเป็นรัฐที่มีอำนาจกระจายอย่างไม่เป็นทางการ และไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ในทุกพื้นที่ นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลเมียนมา ต้องเร่งรีบดำเนินการ เพื่อไม่ให้ขยายกว้างไปมากกว่านี้
ดังที่ผมกล่าวไว้เบื้องต้น ถึงเมืองลาซิว(Lashio) ที่มีการถอนตัวของทหารชนชาติพันธุ์ เป็นที่น่าจับตา เพราะเมืองลาซิว (Lashio) เป็นเมืองหลักทางตอนเหนือของรัฐฉาน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อกับจีน ผ่านเส้นทางการค้าหลักระหว่างเมืองมู่เจของเมียนมา และเมืองหยุ่ยลี่มณฑลยูนนาน อีกทั้งยังเป็นฐานของกองทัพพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ การที่กลุ่มพันธมิตรสามกลุ่มชาติพันธุ์ (Three Brotherhood Alliance) ประสบความสำเร็จ ในการเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของลาซิว(Lashio) ในช่วงปลายปี 2023 ซึ่งต้องยอมรับว่า นั่นเป็นสัญญาณชัดเจนว่าความสามารถของกองทัพพม่าลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ การที่กลุ่มชาติพันธุ์ตัดสินใจ “ถอนตัว” ออกจากบางส่วนของเมืองลาซิวในต้นปี 2024 โดยให้เหตุผล ว่าไม่ต้องการสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน และต้องการคืนพื้นที่ให้พลเรือนปกครองตนเอง สะท้อนแนวโน้มใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ไม่ได้มุ่งแต่การยึดครอง แต่เน้น “สร้างโครงสร้างการบริหารท้องถิ่น” แบบรัฐกึ่งอิสระ ที่ต่อมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้ถอนกำลังทั้งหมดออกจากเมืองลาซิว(Lashio) โดยสิ้นเชิง และมอบให้ทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ามาดูแลทั้งหมด จากฐานะของคนที่ค้าขายอยู่ในเมียนมามาสามสิลกว่าปีอย่างผม จึงมีความข้องใจว่า นั่นเป็นสารตั้งต้นของ “สันติภาพ”ที่แท้จริงหรือไม่? หรือกองทัพของรัฐบาลจะยังมีอำนาจเชิงสัญลักษณ์ในกรุงเนปีดอว์ แต่อำนาจที่แท้จริงบางส่วน กำลังไหลออกไปยังพื้นที่ชายแดน?
อีกปัญหาหนึ่ง ที่ประเทศเมียนมากำลังเผชิญอยู่ และน่าเห็นใจที่สุด ก็คือปัญหาผู้พลัดถิ่น และภัยพิบัติทางมนุษยธรรม ผลจากสงครามภายในและแผ่นดินไหว ทำให้จำนวนผู้พลัดถิ่นในเมียนมาทะลุ 2.5 ล้านคนในปี 2024 โดยมีหลายหมื่นคนหนีภัยข้ามมายังชายแดนไทย โดยเฉพาะในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ขาดแคลนทั้งด้านอาหาร น้ำสะอาด และการดูแลทางการแพทย์ แม้รัฐบาลไทยจะจัดพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวให้ในบางพื้นที่ แต่การขาดระบบรองรับผู้ลี้ภัยอย่างถาวรและนโยบายที่เป็นทางการ ทำให้การช่วยเหลือยังอยู่ในภาวะ “กึ่งลักลอบ” และต้องพึ่งพาองค์กรภาคประชาสังคมเป็นหลัก ต่อมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้ประกาศยกเลิก United States Agency for International development หรือที่เรียกว่า USAID และตัดการช่วยเหลือในอีกหลายๆองค์กร ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ยิ่งขึ้น เราจึงเห็นปัญหาของแรงงานผิดกฎหมาย ที่หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยเรา ผ่านทางด่านชายแดนทางช่องทางธรรมชาติมากขึ้นนั่นเองครับ
ปัญหาที่ประดังประเดเข้ามา หลายฝ่ายต่างมีความเห็นว่า “การเลือกตั้ง” น่าจะเป็นความหวังของประเทศเมียนมา แต่บางคนก็อาจจะคิดว่า นั่นเป็น “กับดัก” ที่น่ากังวลใจเช่นกัน ที่ผ่านๆมา รัฐบาลทหารเมียนมาได้ประกาศหลายครั้งว่า จะจัดการเลือกตั้งเมื่อ “สถานการณ์สงบ” แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจน แม้ล่าสุดจะมีประกาศว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้ง ในความคิดส่วนตัวของผม ในเรื่องระยะเวลาดังที่ประกาศของทางรัฐบาล พอเกิดปัญหาแผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ผมก็คิดว่า ความพร้อมในการเลือกตั้ง อาจจะไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะรัฐบาลต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเมืองใหญ่อันดับสอง ที่เกือบครึ่งเมืองได้รับภัยพิบัติ
อีกทั้งเมืองหลวงเนปิดอร์เอง ก็มีหลายๆกระทรวงทบวงกรมฯ ที่ได้รับความเสียหาย จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนั้นต้องทำใจไว้ได้เลยว่า การเลือกตั้งไม่น่าจะทำได้ในช่วงแค่ไม่ถึงปีนั่นเอง หรือถ้าหากมีการเลือกตั้งได้จริง ก็จะมีความวิตกจากฝากฝั่งตะวันตกว่า การเลือกตั้งที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหารหรือไม่นั่นเอง ผมจึงคิดว่าไม่น่าที่รัฐบาลเมียนมา ที่มีบุคคลากรชั้นหัวกระทิมากมาย จะเสี่ยงทำการเลือกตั้งได้ครับ
ในส่วนของบทบาทของประเทศไทย ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมายาวถึง 2,400 กว่ากิโลเมตร ผมมักจะพูดเสมอว่า “ฝนที่ตกอยู่ทางโน้น ย่อมหนาวถึงคนทางนี้” ดังนั้นก็ย่อมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการต้องรับมือกับวิกฤตในประเทศเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้ลี้ภัย ความมั่นคงชายแดน หรือบทบาทในเวทีอาเซียน แม้ว่านโยบายของไทยเรา จะเน้นการไม่แทรกแซงกิจการภายใน แต่ความเป็นจริงแล้ว “สันติภาพ”ในประเทศเมียนมา ย่อมส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงของไทยเราด้วย ซึ่งในวันนี้ประเทศเมียนมา กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ที่เป็นการต่อสู้เพื่อโครงสร้างทางการเมืองใหม่ การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการกำหนดทิศทางอนาคตของชาติที่ยังคงไม่แน่นอน เราจึงต้องมีการจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปครับ