เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ทำให้ทั่วโลกต่างตกตะลึงราวกับถูก “ระเบิดนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ” ลูกใหญ่ถล่มโลก ซึ่งหลายๆ ประเทศในภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่ ต่างก็เริ่มแสดงท่าทีในการ “ยอมจำนน” ด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา ต่างก็ยื่นเจตจำนงไปยังสหรัฐอเมริกาแล้ว ของเราคงต้องรอให้รัฐบาลไทยเราขยับตัวกันต่อไปครับ
ในขณะที่ประเทศเมียนมา ไม่ได้รับผลกระทบมากมายเลย แม้จะโดนอัตราภาษีศุลกากรเพิ่มไปมากถึง 44% ก็มีเพื่อนๆ ส่งคำถามมาว่า “แล้วจะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน?” ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าถ้าหากเราทำการวิเคราะห์ในเชิงลึก ถึงผลกระทบในบริบทนี้ จำเป็นต้องพิจารณากันในหลายๆ มิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมืองระหว่างประเทศ จึงจะสามารถเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ ผมจึงอยากชวนให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านดู โดยขออนุญาตใช้ปัญญาอันน้อยๆ และประสบการณ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศเมียนมาอันยาวนาน มาลองวิเคราะห์ดูนะครับ
ถ้าจะมองจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในความเป็นจริงของสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศเมียนมาได้ถูกสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกแซงชั่นไปนานแล้ว ตั้งแต่ปี 2021 ดังนั้นการที่สหรัฐฯใช้นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตราสูงถึง 44% ต่อประเทศเมียนมา อาจจะไม่ได้รับผลกระทบทางตรงมากนัก แต่อาจจะส่งผลกระทบทางอ้อมเสียมากกว่า เพราะชาติคู่ค้าของเมียนมาหลายประเทศ ต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
แต่ถ้ามองกันถึงสมมุติฐานว่า ถ้าประเทศเมียนมายังสามารถส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาได้อย่างปกติ ก็อาจจะมีผลกระทบกลับมาบ้างนะครับ เพราะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประเทศเมียนมาก็มีสินค้าอยู่หลายประเภท ที่ทำการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงสินค้าจากภาคเกษตรกรรม เช่น ข้าว ยาง ผลไม้บางชนิด และสินค้าแปรรูปต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากการทำเหมืองแร่
ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของสินค้าจากเมียนมา การเพิ่มภาษีศุลกากร 44% ที่จะถูกเรียกเก็บกับสินค้าจากเมียนมา จะทำให้สินค้าเหล่านี้มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขัน ของสินค้าจากเมียนมาในตลาดสหรัฐฯลดลง สินค้าเมียนมา ซึ่งอาจไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่น ที่มีต้นทุนต่ำกว่า หรือสินค้าภายในประเทศสหรัฐฯ อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไป เช่น หากสินค้าการเกษตรจากเมียนมา เช่น ข้าว หรือผลไม้ ต้องเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้น ผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจเลือกซื้อสินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า หรือเลือกใช้สินค้าทดแทน ซึ่งจะทำให้การส่งออกจากเมียนมาไปสหรัฐฯลดลง
ในส่วนของผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก ในอดีตที่ผ่านมาก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศเมียนมามีอุตสาหกรรมหลายประเภท ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางด้านการ์เม้น เกษตรกรรมและแร่ธาตุ ถ้าหากในสถานการณ์ปกติ จะมีการส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ ก็อาจถูกกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากร
นั่นหมายถึง รายได้จากการส่งออกของประเทศจะลดลง ในระยะยาวหากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ธุรกิจท้องถิ่น ที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ประสบปัญหาทางการเงิน ต้องปรับลดขนาดกิจการหรือหาวิธีการใหม่ หรือหากมีการขึ้นภาษีศุลกากร ก็จะทำให้สินค้าเมียนมาราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ การลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเหล่านี้ อาจชะลอตัวลงทำให้การเติบโตของภาคธุรกิจเหล่านี้ลดลง และอาจมีผลกระทบต่อ การจ้างงาน ในภาคการเกษตรและการผลิต แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน อุตสาหกรรมในเมียนมาเอง ก็ลดลงไปมากพอสมควร ดังนั้นคงไม่ต้องไปกังวลใจมากครับ
ผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ก็เช่นกัน เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีทั้งความสงบภายใน ที่มีความท้าทายอย่างมาก อีกทั้งผลจากการเกิดแผ่นดินไหวในมัณฑะเลย์ เชื่อว่าจะทำให้การลงทุนจากต่างประเทศ(FDI) ได้หายวับไปกับตา มานานร่วมสาม-สี่ปีแล้ว แต่ถ้าเป็นบริบทของสถาณการณ์ปกติ ประเทศเมียนมาที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ย่อมมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องการการลงทุนจากต่างชาติ เช่น
อุตสาหกรรมการ์เม้น การทำเหมืองแร่และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เกษตร การประกาศขึ้นภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติ กังวลใจ เกี่ยวกับความไม่แน่นอนในตลาดเมียนมา เนื่องจากการขึ้นภาษีอาจทำให้การส่งออกจากเมียนมาไปยังสหรัฐฯมีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนในประเทศอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า นี่อาจทำให้เมียนมาพลาดโอกาสในการดึงดูดการลงทุนที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ การที่ผู้ผลิตในประเทศที่ผ่านๆมา ผู้ผลิตได้มีการเพิ่มกำลังการผลิต เพราะการนำเข้ามีความยุ่งยากมาก เพราะจะต้องมีทั้ง Import License และ Earning Money อีกทั้งปัญหาของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และการการหาเงินตราต่างประเทศเพื่อนำมาชำระค่าสินค้า การผลิตสินค้าเพื่อมาชดเชยการนำเข้าของผู้บริโภคภายในประเทศ จึงเป็นการแก้ไขที่ถูกทางที่สุด ดังนั้นความสำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่คำตอบที่น่าจะเป็นครับ
ส่วนแนวทางการปรับตัวของเมียนมา ต่อปัญหาที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ประเทศเมียนมาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรน ในการพิจารณานโยบายและมาตรการที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาษีตอบโต้เหล่านี้เลย เพราะการหาตลาดใหม่ของประเทศเมียนมา ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขยายตลาดการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆอีก เพราะประเทศเมียนมาในวันนี้ มีแต่การกีดกันไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดเมียนมา เพราะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่ค่อยจะมี จะเห็นได้จากนโยบายกีดกันการนำเข้าของเมียนมา นั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะมองออกครับ
เราจะเห็นได้ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯในอัตรา 44% ต่อสินค้าที่มาจากประเทศเมียนมา จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมียนมามากนัก เพราะการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีน้อยจนแทบจะไม่มี การลงทุนจากต่างประเทศก็เหลือน้อยเต็มทน การเติบโตของภาคธุรกิจก็อาศัยแต่เพียงตลาดภายในและการบริโภคสินค้าที่ผลิตภายในเป็นหลัก ประเทศเมียนมาจึงไม่ต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มากนัก ดังนั้นรัฐบาลเมียนมาจึงไม่ต้องเดือดร้อนเหมือนบางประเทศ ที่จะต้องเร่งรีบในการหาทางออกในการแก้ปัญหาครับ