KEY
POINTS
สิ้นสุดปี 2568 และ กำลังก้าวสู่ปี 2569 หลายสำนักต่างออกมาประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวตํ่าในช่วง 2-2.4 % ปรับลดลงจากช่วงต้นปีที่เคยมองไว้ 2.8-3.0%
แม้ตัวเลขจะดูเหมือนเป็นบวก แต่เป็นการเติบโตกระจุกตัว เฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ภาคเศรษฐกิจจริงกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางภาษีกับสหรัฐอเมริกา ที่ภาคการส่งออกไท ต้องเผชิญกับมรสุม ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งส่งออกล่วงหน้าในช่วงครึ่งปีแรก
ผลที่ตามมาคือ ไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 การส่งออกจึงวูบลงอย่างหนัก และไม่มีคำสั่งซื้อเหลือส่งต่อให้ปี 2569
ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงระดับ 90.7% ของ GDP ส่งผลต่อสินเชื่อรายย่อย เช่น ที่อยู่อาศัย และรถยนต์ ในระบบธนาคารเริ่มหดตัวลง (ติดลบ 1-2%) สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้ถึงขีดสุด ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอยู่ในภาวะถูกแช่แข็ง
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2568 หดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ที่มียอดผลิตลดลงตํ่าสุดในรอบหลายปี จากการรุกคืบของสินค้าราคาถูกจากจีน และการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีที่ไทยยังปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดการปิดโรงงานและเลิกจ้างในวงกว้าง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ -0.2% ถึง 0.3% ซึ่งสะท้อนถึงราคาสินค้าเกษตรและพลังงานลดลง ประกอบกับประชาชนไม่มีเงินจ่าย ทำให้ระบบเศรษฐกิจขาดแรงหมุน ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุนเพิ่ม
รวมถึงการไร้เสถียรภาพทางการเมือง และการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งปี 2569 ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการตัดสินใจ ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนโตเพียง 1.2-1.7% เท่านั้น
จากปัจจัยดังกล่าว เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดับลง ทั้งการบริโภคที่แผ่วลงหลังหมดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งออกที่ชะงักงัน จะเป็นตัวฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจปี 2569 ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากยิ่งขึ้น หรือไม่มีโมเมนตัม” ใดๆ ส่งต่อมาถึง
โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรก ที่ต้องเผชิญกับสุญญากาศทางการเมือง ที่อยู่ระหว่างช่วงเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ กระทบมาถึงงบประมาณการลงทุนภาครัฐจะชะลอตัวลงทันที
นโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติจะเข้าสู่ภาวะรอการตัดสินใจ เพื่อรอดูโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี และนโยบายใหม่ ทำให้การลงทุนภาคเอกชน ที่ควรจะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนต้องหยุดชะงัก
หรือแม้แต่ความหวังของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เฟส 2 ที่แต่เดิมจะนำมาใช้กระตุ้นเศรษบกิจในช่วงไตรมาสแรก ปี 2569 งบประมาณที่จะนำมาใช้ ไม่เหลือหน้าตักเพียงพอ ที่จะใส่เงินสดลงไปในระบบได้เหมือนเก่า จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากที่พึ่งพาการอัดฉีดแบบ Quick Win ต้องเข้าสู่ภาวะช็อกในช่วงต้นปี ส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศลดลง
ในขณะที่หนี้ครัวเรือนยังจ่อระดับ 90% ของ GDP ซึ่งเปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถขยับตัวได้ในปี 2569
นโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติจะเข้าสู่ภาวะรอการตัดสินใจ เพื่อรอดูโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีและนโยบายใหม่ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนที่ควรจะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนต้องหยุดชะงัก
การส่งออกที่เคยเป็นพระเอกในปี 2568 จากการเร่งระบายสินค้าก่อนกำแพงภาษี “ทรัมป์” จะบังคับใช้ ถูกดึงไปใช้หมดแล้ว ประกอบกับผลกระทบเต็มรูปแบบจากสงครามการค้า ทำให้การส่งออกเสี่ยงติดลบหรือเติบโตตํ่าเตี้ย
มีการมองว่า ในปี 2569 จะเป็นปีแห่งม้าลุยไฟ ที่ประเมินกันว่า GDP จะเติบโตตํ่าเพียง 1.5% แต่สิ่งที่น่ากลัง คือ คนไทยจะไม่มีกำลังซื้อที่เพียงพอ และรัฐบาลไม่มีเครื่องมือในการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,161 วันที่ 28 -31 ธันวาคม พ.ศ. 2568