KEY
POINTS
ครบ 1 เดือนเต็มแล้วสำหรับการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เสียงสะท้อนจากทั้งภาคธุรกิจ ประชาชน และนักการเมืองด้วยกันเอง เริ่มมีคำชมหลังรัฐบาลขับเคลื่อนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อทั่วประเทศ เริ่ม 29 ต.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่ผลงานการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตาชาวโลก ผ่านการแก้ไขปัญหาและลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา ในเวทีอาเซียนซัมมิต และเวทีเอเปกซัมมิต ที่มีผู้นำระดับโลกเข้าร่วม สามารถมองเห็นเงาสัญญาณของความพยายามผลักดันนโยบายสำคัญให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
ส่วนความคืบหน้า 5 ด้าน 15 นโยบายสำคัญ ตามที่ นายกฯ อนุทิน ได้แถลงไว้ต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อ 29 ก.ย. 68
ด้านเศรษฐกิจ : โครงการเรือธง “คนละครึ่งพลัส” 20 ล้านสิทธิ์ สร้างรายได้ ลดรายจ่ายประชาชน การขยายวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงินช่วยเหลือประชาชน 13.45 ล้านราย เริ่มผลิดอกออกผล ประชาชนรู้สึกถึงผลลัพธ์ได้
ด้านความมั่นคง : การแก้ไขปัญหาชายแดน สร้างสันติภาพไทย-กัมพูชา เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่ละฝ่ายเริ่มถอนอาวุธหนัก แต่หลายเรื่องยังต้องใช้เวลาในการเจรจา และต้องมีแอ็กชั่นแพลนนำสู่ภาคปฏิบัติได้จริง
ด้านสังคม : การปราบโกง ต้านพนัน และรักษากฎหมาย ในส่วนนี้รูปธรรมไม่ชัดเจนนัก
ด้านสิ่งแวดล้อม : ผลักดันพลังงานสะอาด สังคมคาร์บอนตํ่า เรื่องสำคัญ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรครบทั้งวาระที่ 2 และ 3 แล้ว และอยู่ในขั้นตอนต่อไปที่วุฒิสภาพิจารณา หากวุฒิสภาอนุมัติ ก็จะประกาศใช้และมีการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้จริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
รัฐทันสมัย : ปฏิรูปกฎหมาย พัฒนารัฐบาลดิจิทัล ถือเป็นงานรูทีนที่มีเรื่องเดิมอยู่แล้วและนำมาต่อยอด ผลงานในเรื่องนี้ของรัฐบาลยังไม่ชัดเจนหรือโดดเด่น
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รวมร่างหลายฉบับ) เมื่อวันที่ 14-15 ต.ค. 2568 มีสาระสำคัญคือ การเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อจัดตั้ง สสร.ซึ่งในกระบวนการยังต้องผ่านการเสนอวาระต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาผลงานครบ 1 เดือน จะเห็นว่า รัฐบาลเริ่มต้นได้ดีในหลายเรื่องที่ทำได้ทันที และต่อเนื่องจากรัฐบาลเดิม แต่หลายเรื่องยังอยู่ในขั้น “วางกรอบหรือเตรียมการ” หากไม่เร่งลงมือทำ ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอาจล่าช้า และความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้เดือนแรกเป็นเพียงการ “เริ่มต้น” แต่เดือนต่อไป คือ การพิสูจน์ความสามารถ หากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชนสัมผัสถึงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้จริง เงินที่เริ่มหมุน และ มีรายได้กลับมา จะทำให้ความเชื่อมั่นสูงขึ้นทันที แต่หากยังวนอยู่กับการตั้งคณะทำงานหรือวางกรอบการเมืองและเศรษฐกิจ อาจเสียจังหวะต่อเนื่อง
รัฐบาลชุดนี้มีเวลาไม่มากในการสร้างผลงานให้ประชาชนเห็นผลชัดเจน การเดินหน้า 15 นโยบายใน 5 ด้าน ต้องเป็น “งานลงมือทำจริง” ไม่ใช่เพียงคำประกาศ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่รอใคร และประชาชนก็ไม่สามารถรอคำสัญญาที่วางเปล่าได้
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,146 วันที่ 6 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568