KEY
POINTS
เรื่องของอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) 36% ที่สหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2568 นี้ แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบอย่างหนัก ต่อผู้ประกอบการในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมรายย่อยที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก
ในการหารือระหว่างทีมไทยแลนด์ และ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 รัฐบาลได้เตรียมมาตรการเยียวยาโดยใช้สินเชื่อดอกเบี้ยตํ่า หรือ ซอฟต์โลน วงเงินประมาณ 2 แสนล้านบาท จากสถาบันการเงินของรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ต้องพิจารณาคือ มาตรการดังกล่าวเพียงพอหรือไม่ ที่จะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งภาคการส่งออก ที่ต้องลดลงโดยปริยาย ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 25-30%
ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงยางพารา และ เฟอร์นิเจอร์ ก็จะลดลงตามไปด้วย จากผู้ประกอบการที่ต้องการย้ายฐานการผลิต การลงทุนไปยังประเทศอื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า
แม้รัฐบาลจะมุ่งหวังในการลดผลกระทบจากภาษี โดยการหาตลาดใหม่ในภูมิภาคต่างๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า แต่การดำเนินการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลาและความพยายามมาก ซึ่งอาจไม่สามารถทดแทนการสูญเสียที่เกิดขึ้นในระยะสั้นได้ทันที
นอกจากนี้ การปรับตัวไปยังตลาดใหม่ หรือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาจมีต้นทุนที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในระยะเวลาสั้นที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาษีที่สูงขึ้น
แนวทางการรรับมือกับภาษีทรัมป์ ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ หนีไม่พ้นการมุ่งเจรจาเพื่อขอลดอัตราภาษีอย่างเนื่อง ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนให้ผู้ประกอบการปรับตัว โดยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และการเพิ่มมูลค่าสินค้า การใช้มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่า (ซอฟต์โลน) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้นในการปรับตัว การยืดหยุ่นด้านการเงินจะช่วยลดภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษี และช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบได้เร็วขึ้น
อีกหนึ่งแนวทางคือ การใช้เครือข่าย หรือ คลัสเตอร์ ที่มีอยู่ โดยเฉพาะของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการรวบรวมข้อมูลและปัญหาจากผู้ประกอบการในภาคต่างๆ และนำมาพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุด เช่น การให้คำปรึกษาในการเจรจากับพันธมิตรทางการค้า หรือ การให้ข้อมูลตลาดใหม่ที่สามารถขยายไปได้
ในที่สุด หากไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสม และเจรจาภาษีที่ตํ่ากว่าได้ ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียตลาดสำคัญ ตามมาด้วยการลดลงของการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นโดมิโนต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,114 วันที่ 17 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568