ใครจะสืบทอด คำถามชี้อนาคตธุรกิจครอบครัว

12 ก.ย. 2568 | 22:27 น.

ใครจะสืบทอด คำถามชี้อนาคตธุรกิจครอบครัว : Family Business Thailand รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย [email protected]

ธุรกิจครอบครัวถือเป็นรากฐานของเศรษฐกิจโลก งานวิจัยของ PwC (2023) ระบุว่า ธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP โลก และสร้างการจ้างงานมากกว่า 60% แต่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กลับไม่ใช่การทำกำไร หากคือ “การสืบทอด” เมื่อถึงเวลาที่เจ้าของรุ่นแรกต้องส่งไม้ต่อ

คำถามว่าใครจะเป็นผู้สืบทอด (successor) จึงกลายเป็นโจทย์ที่กำหนดอนาคตของกิจการ ทั้งนี้การสืบทอดธุรกิจไม่ได้หมายถึงแค่การโอนหุ้นหรืออำนาจบริหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงสามมิติ ได้แก่ ธุรกิจ ครอบครัว และเจ้าของ ซึ่งหากขาดการเตรียมการที่รอบคอบ ย่อมเสี่ยงต่อความขัดแย้งและการสะดุดของกิจการเป็นแน่

ความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องวางแผนด้วย

หลายครอบครัวตั้งใจจะส่งต่อธุรกิจให้ลูกหลาน แต่ความตั้งใจเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ผลสำรวจของ KPMG (2022) พบว่า กว่า 80% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลกต้องการส่งต่อกิจการให้คนในครอบครัว แต่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีแผนสืบทอด (succession plan) อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้การมีเป้าหมายแต่ไร้แผน ก็ไม่ต่างจากการเดินทางโดยไร้เข็มทิศ ดังนั้นหากครอบครัวเริ่มเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ทายาทค่อยๆเรียนรู้ รับบทบาทใหม่อย่างเป็นขั้นตอน และลดความไม่แน่นอนได้เมื่อถึงเวลาจริง

3 มิติที่กำหนดผู้สืบทอด

การเลือกผู้สืบทอดนั้นไม่ได้ขึ้นกับสายเลือดเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาจากสามมิติหลัก ได้แก่

1. ด้านธุรกิจ (Business traits): ผู้สืบทอดต้องเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ทั้งด้านตลาด ลูกค้า การเงิน และแนวโน้มอุตสาหกรรม พร้อมพาธุรกิจปรับตัวท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

2. ด้านครอบครัว (Family traits): ความสัมพันธ์และบทบาทในครอบครัวมีผลต่อความไว้วางใจ ครอบครัวที่เปิดโอกาสให้ลูกหลานมีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ มักสร้างรากฐานความเชื่อมั่นได้ดีกว่า

3. ด้านเจ้าของ (Owner traits): เจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งหรือเจ้าของปัจจุบันเป็นตัวแปรสำคัญ หากยังลังเลหรือไม่พร้อมปล่อยวาง อาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสะดุดไปด้วย

ใครจะสืบทอด คำถามชี้อนาคตธุรกิจครอบครัว

ทำไมหลายครอบครัวยังไร้ผู้สืบทอด

แม้ตระหนักถึงความสำคัญ แต่หลายครอบครัวกลับเลี่ยงการพูดถึงการสืบทอด เพราะเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ หรือไม่มั่นใจในความพร้อมของลูกหลานที่ยังขาดประสบการณ์ นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องที่มีมุมมองต่างกัน ก็ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การสืบทอดสะดุดอีกด้วย

ขณะที่รายงานของ Deloitte (2024) ยังชี้ว่าช่องว่างระหว่างเจเนอเรชันเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเช่นกัน คนรุ่นใหม่ในครอบครัวมักสนใจเรื่องความยั่งยืน เทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม ขณะที่รุ่นเก่าเน้นการรักษาความมั่นคงและกำไร ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการอย่างสร้างสรรค์ ความต่างนี้อาจบานปลายเป็นความขัดแย้งที่บั่นทอนการส่งต่อธุรกิจได้

แผนสืบทอดกิจการคือกุญแจสู่ความยั่งยืน

งานวิจัยยืนยันว่า ธุรกิจที่มีแผนสืบทอดอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร มักรับมือกับการเปลี่ยนผ่านได้ราบรื่นกว่า โดยการศึกษาของ Marshall, Yilmaz & Lehnert (2012) ระบุว่าแผนสืบทอดช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจบทบาทหน้าที่ ลดความขัดแย้ง และสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อพนักงาน คู่ค้า และนักลงทุนอีกด้วย ดังนั้นการมีแผนที่ชัดเจนไม่เพียงช่วยรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณความมั่นคงต่อทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกด้วย

สุดท้ายแล้วความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือความมั่งคั่งเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าครอบครัวเตรียมแผนสืบทอดได้ดีเพียงใด โดยครอบครัวที่กล้าพูดคุยเรื่องอนาคต เปิดโอกาสให้ทายาทเรียนรู้ และกำหนดทิศทางไว้อย่างชัดเจน ย่อมจะสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างมั่นคงท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

อ้างอิง

1. Deloitte Private. (2024). Family Enterprise Survey: Considerations for family businesses—from one generation to the next. Deloitte.

2. KPMG. (2022). Global family business report: The regenerative power of family businesses. KPMG International.

3. Marshall, M. I., Yilmaz, S., & Lehnert, J. (2012). The family business: Identifying a successor. Purdue University, Department of Agricultural Economics.

4. PwC. (2023). 11th Global family business survey: Transform to build trust. PwC.