ในโลกของธุรกิจครอบครัว โดยเฉพาะในเอเชียมีหลายกรณีที่สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัว (resilience) อย่างน่าทึ่ง แม้เผชิญกับความผันผวนของตลาดหรือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้เพียงแค่เอาตัวรอดเท่านั้น แต่ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ที่ออกแบบมาเพื่อให้กิจการสามารถส่งต่อสู่รุ่นถัดไปได้อย่างราบรื่น
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการส่งต่อธุรกิจที่ยั่งยืน คือการเตรียมทายาทอย่างเป็นระบบควบคู่ไปกับการจัดสรรบทบาทภายในครอบครัวอย่างเหมาะสม หลายครอบครัวเลือกใช้แนวทางแบ่งแล้วเติบโต (divide and prosper) ผ่านการแยกหน่วยธุรกิจ หรือขยายกิจการสู่หลายอุตสาหกรรมเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว และกระจายความเสี่ยงอย่างมีชั้นเชิง
ผู้ก่อตั้งที่ประสบความสำเร็จมักเชิญชวนบุตรหลานให้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อปลูกฝังคุณค่าของครอบครัว (family values) และเสริมสร้างทักษะการบริหาร แม้จะส่งมอบอำนาจแล้วก็ยังคงมีบทบาทเป็นผู้นำทางความคิดและให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนผ่านจึงเป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การส่งมอบเพียงชั่วข้ามคืน
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือการกำกับดูแลครอบครัว (family governance) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยกำกับความสัมพันธ์ภายในบ้านและกิจการอย่างสมดุล โดยมีทั้งสภาครอบครัว (family council) และที่ประชุมครอบครัว (family assembly) ทำหน้าที่คล้ายคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทเอกชน โครงสร้างนี้ช่วยกำหนดสิทธิ หน้าที่ และบทบาทของสมาชิก ลดความเสี่ยงจากความขัดแย้ง และสร้างวัฒนธรรมแห่งการสื่อสารร่วมกัน
นอกจากนี้แม้เอกสารอย่างธรรมนูญครอบครัว (family constitution) จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่หากออกแบบให้มีมาตรการบังคับใช้ที่ชัดเจน เช่น ข้อจำกัด เงื่อนไข หรือบทลงโทษ ก็สามารถเพิ่มประสิทธิผลในการบริหารความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้จริง รวมถึง การใช้เครื่องมือทางกฎหมายเฉพาะทาง (bespoke legal tools) ก็มีความสำคัญไม่น้อยควบคู่ไปกับการกำกับดูแล
โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหรือคณะกรรมการบริษัท ซึ่งต้องอาศัยเอกสารทางกฎหมายที่มีผลผูกพันอย่างชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่การทำข้อตกลงก่อนหรือหลังสมรส (prenuptial and postnuptial agreements) เพื่อปกป้องทรัพย์สินของครอบครัวในระยะยาว
เครื่องมืออีกอย่างที่ผู้ก่อตั้งนิยมใช้คือสิทธิลงคะแนนเสียงพิเศษ (special voting rights) ซึ่งช่วยให้ยังสามารถแทรกแซงทิศทางของกิจการได้ในกรณีจำเป็น แม้จะยกอำนาจหลักให้รุ่นลูกหลานไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้มิติด้านภาษี (tax planning) ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อสมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่ในหลายประเทศที่มีกฎหมายภาษีต่างกัน
การวางแผนสืบทอดโดยไม่พิจารณาเรื่องภาษีอย่างรอบด้าน อาจสร้างภาระที่ไม่คาดคิดให้กับสมาชิกแต่ละคน จึงจำเป็นต้องประสานทั้งด้านกฎหมาย ธุรกิจ และภาษีข้ามเขตอำนาจ (cross-border tax coordination) ในยุคที่กฎเกณฑ์ทั่วโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ครอบครัวที่มีสินทรัพย์ระดับสูงจึงหันมาใช้สำนักงานครอบครัว (family office) เพื่อบริหารมรดก ความมั่งคั่ง ภาษี กฎหมาย และภาพลักษณ์แบบครบวงจร โดยเฉพาะในสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งต่างแข่งขันกันออกมาตรการส่งเสริม
เช่น การยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุน อย่างไรก็ดีกฎหมายภาษีระหว่างประเทศก็เริ่มเข้มงวดขึ้น เช่น กฎหมายฉบับแก้ไขของฮ่องกงปีค.ศ. 2023 (2023 Amendment Ordinance) และมาตรฐานการเปิดเผยรายได้ในต่างประเทศของ OECD (Common Reporting Standard – CRS) ทำให้โครงสร้างการถือทรัพย์สินผ่านต่างประเทศต้องเผชิญกับความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาเฉพาะทางช่วยวางแผนอย่างรอบด้าน
ที่สุดแล้วการส่งต่อธุรกิจครอบครัวจึงไม่ใช่เพียงแค่การโอนทรัพย์สิน หากแต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องผสานความเข้าใจในค่านิยมของครอบครัว เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจและกฎหมายเฉพาะทางอย่างแยบยล นักกฎหมายที่ปรึกษาในเรื่องนี้จึงควรเป็นมากกว่าผู้ร่างเอกสาร แต่ต้องทำหน้าที่เป็นพันธมิตรในการวางแผน เพื่อให้กิจการของครอบครัวดำรงอยู่ข้ามรุ่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ที่มา: Withersworldwide. (2024, March 4). Family business succession in Asia – Legal insights. Withers LLP. https://www.withersworldwide.com/en-gb/insight/read/family-business-succession-legal-insights