เทวดามาช่วย

22 พ.ย. 2568 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 16:58 น.

เทวดามาช่วย คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • พระปานได้รับนิมิตจากเทวดาในความฝันให้นำการบูรณะพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชที่กำลังทรุดโทรมอย่างหนัก
  • เทวดาได้แสดงปาฏิหาริย์ช่วยเหลือพระปานในภารกิจหลายครั้ง เช่น การย่นระยะทางการเดินทาง และการบันดาลให้เกิดน้ำป่าเพื่อขนส่งไม้ซุง
  • จากเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว ทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศเกิดความศรัทธาและหลั่งไหลมาร่วมแรงร่วมใจบริจาคสิ่งของและกำลังคนในการบูรณะ

หากว่าทางเหนือของเรานั้น บรรดาศาสนสถานของเก่าโบราณที่บรรพชนคนมีศิลปะสร้างไว้ให้กราบไหว้ทั้งบรรดาเจดีย์ต่างๆรอยพระพุทธบาท ศาลาคนเดินทางในกระบวนการแสวงบุญ ยามเมื่อทรุดโทรมผุพังลงหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่แห่งยุคที่สามารถรวบรวมกำลังศรัทธาของผู้คนมาทำการซ่อมมาแซมแก้ไขสร้างใหม่ได้ต้องยกให้ครูบาศรีวิชัยผู้ลือนาม

ซึ่งไม่เพียงแต่ แก้ไขของเดิมให้ดีขึ้นแต่รวมถึงการทำรนแคม สร้างสะพานต่างๆให้ผู้คนสัญจรไปมาได้โดยสะดวก โดยสาธารณะไม่เลือกว่าชาติศาสนาไหนอีกด้วย

 

เทวดามาช่วย

 

ในยุคตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มาได้เกือบสัก 70 ปี พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมผุพังเสียหายขาดคนดูแล พระวิหารหลายหลังพังทลาย พระพุทธรูปกรำแดดกรำฝน ถูกตะไคร่น้ำจับจนมองแทบไม่เห็นองค์พระ บริวารเจดีย์ถูกคนต่อยตีจนแตกหัก เพื่อชุดค้นโบราณวัตถุรื้อเอาของมีค่าไปขาย มิหนำซ้ำลานพระธาตุยังรกชัฏ กลายเป็นดงอาศัยของสัตว์เถื่อนป่า เป็นต้นว่า นก หนู นาก มุดสัง พังพอน เสือปลา ไก่ป่า

อีกทั้งอากูลไปด้วยซากศพ เหม็นกลิ่นอบไอสาบสางทั่วบริเวณเป็นเวลากว่า 30 ปี ก็ได้กำลังของพระ ภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางเท้าเปล่าจากเมืองหลวงมุ่งหน้ามาบูรณะรักษาพระบรมธาตุคู่เมืองแห่งนี้ให้ฟื้นคืนสภาพ ท่านมีชื่อว่า พระปาน (ปาล)

ตามตำนานแล้วพระปาลท่านก็เป็นคนทางใต้มีบิดามารดามีตัวตนชัดเจน ชั่วแต่ว่าบิดาของท่านต้องอาญาโดนลงทัณฑ์ไปเปนทาส และในสมัยที่บ้านเมืองยังมีระบบทาสกันอยู่ ท่านอยู่ในฐานะลูกทาส ตามไปด้วย

ตัวท่านนั้นขึ้นกับมูลนายคือคุณพระเสนีนฤเบศร์ ซึ่งเป็นผู้มีจิตใจเป็นธรรมและมีความทันสมัย

คุณพระมักให้ท่านติดตามรับใช้ไปในที่ต่างๆเปิดหูเปิดตากว้างขึ้นวันหนึ่งคุณพระจัดการเลี้ยงแขกและท่านทำหน้าที่เป็นคนเสิร์ฟอาหารในจังหวะที่เดินโต๊ะอยู่นั้นมีลูกหนูตัวหนึ่งหล่นจากฝ้าเพดานเข้าใส่หัวของพระปานซึ่งขณะนั้นยังไม่เป็นพระเข้าพอดี

คุณพระเห็นเหตุการณ์แล้วก็นึกตามตำราเก่าว่าอัศจรรย์อย่างนี้จังหวะพอดีอย่างนี้เขาถือกันนัก เสร็จเรื่องแล้วท่านจึงเรียกมาคุยว่าตามตำราหนูตกใส่หัวไม่ตกใส่ไหล่ไม่ตกใส่ตัวเป็นแง่มุมทิศทางของความดี คนดี คนจะได้ราศี ในภายหน้าท่านจึงว่าจะปลดจากความเป็นทาสให้เพื่อมีอิสรภาพในตัวตนต่อไป ถามความสมัครใจว่าอยากจะทำอะไรหลังจากเป็นไทแก่ตัว

ท่านจึงว่าอยากบวชเนื่องจากอายุ 30 กว่าปีแล้ว และคิดจะบวชเป็นธรรมยุต(แบบเก่า)ที่วัดโพธิ์ กรุงเทพ

คุณพระผู้เป็นมูลนายก็จัดการให้สมประสงค์จนท่านเป็นภิกษุอยู่ในวัดพระเชตุพนศึกษาเล่าเรียน

ทีนี้ก็จะเข้าถึงตอนนิทาน ที่สมัยนี้เค้าชอบพูดเรื่องจริงแต่อ้างว่ามาเล่านิทานให้ฟังจะได้ไม่โดนฟ้อง 55 เรื่องมีอยู่ว่า

เช้ามืดวันหนึ่งท่านหลับฝันว่ามีชายแก่แต่งตัวดีถือพัดและไม้เท้าหัวนาค มาปรากฏขอเชิญท่านไปซ่อมพระบรมธาตุเมืองนคร ท่านจึงว่าพระบรมธาตุตกอยู่ในสถานะทรุดโทรมมากเกินกว่าจะคาดไหว ท่านเป็นพระมาจากลูกทาสตัวคนเดียวจะหาทางเอากำลังคนกำลังทรัพยากรเงินทองจากไหน มาทำการ มาทำการซ่อมแซม? ชายชราในฝันก็บอกว่าจะจัดการให้ทั้งหมดถ้าต้องการอะไร

เมื่อตื่นขึ้นมาความฝันชนิดนี้ก็ยังวนเวียนรบกวนจิตใจท่านอยู่ ในเวลาต่อมาไม่นานท่านก็ฝันอะไรแบบนี้อีก คราวนี้เป็นความฝันที่มีพราหมณ์นุ่งขาวถึงสามคนมาบอกข่าวขอนิมนต์ไปซ่อมพระพระบรมธาตุอีกแล้ว ท่านได้กล่าวปฏิเสธไปเหมือนเคย

พราหมณ์ได้ประกาศตนชัดเจนว่าเป็นเทวดานามว่า พิรุณ เทพแห่งฝน นามว่า รุกขา เจ้าแห่งป่าและพระพาย เทพแห่งลม

จะหาทางบันดาลการช่วยเหลือทุกสิ่งนานาประการให้การซ่อมสร้างพระบรมธาตุซึ่งจะต้องเริ่มจากงาน

เคลียริ่งประดาพืชต้นไม้เถาวัลย์สิ่งสกปรกรกเหม็นต่างๆออกไปก่อนให้ลุล่วง

 

เทวดามาช่วย

 

ท่านก็ยังลังเลไม่ตกปากรับคำแต่ใช้วิธีโบราณคือการตั้งสัตยาธิษฐานประกาศออกไปในสามโลกว่าหากความฝันนี้เป็นจริงและหาตัวท่านมีความสามารถได้รับการอุดหนุนจากเหล่า ทวยเทพ ต่างๆ

(all mighty gods) เช้ามืดนี้มีฝนยามออกบิณฑบาตก็ขอให้ปรากฏเหตุอัศจรรย์ว่าฝนไม่โดนตัว จะไม่เอาร่มไป ก็ปรากฏเหตุแปลกประหลาดเดินบิณฑบาตไปฝนไม่เปียกตัวท่านจึงคิดว่าเป็นความจริงแน่แล้วที่พวกเทวดาทั้งหลาย เขามาปรากฏเพื่อช่วยเหลือให้กิจการแก้ไขเรื่องพระธาตุเป็นไปได้จริง

ท่านจึงไป กราบลาเจ้าอาวาสแล้วออกเดินทางมุ่งหน้าผ่านเมืองนครชัยศรีเพื่อตัดลงปักษ์ใต้ ซึ่งในการณ์นี้ท่านก็หาทางตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงดวงอีกแหละ ว่าในการเดินทางนี้ให้ถึงเมืองนครในระยะเวลาอันสั้นกี่วันกี่วันซึ่งที่จริงถ้าเดินเท้าแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะถึงในระดับวันจะต้องว่ากันเป็นระดับเดือน

ก็ปรากฏว่าท่านได้ประสบเหตุเทวดามาย่นระยะทางให้ จนกำนันในตำบลป่าริ้ว ชื่อหมื่นเดชา แขวงเมืองนครชัยศรี พบท่านจาริกมาก็สอบปากคำท่านว่าออกจากกรุงเทพมาเมื่อวันใดเดินเท้ามาถึงนครนครชัยศรีเมื่อวันใด แล้วกำนันว่าพระโกหก ถ้าไม่โกหกพระก็ต้องมีปาฏิหาริย์ นี่!

แต่หมื่นกำนันเปนผู้ไม่ชอบเรื่องปาฏิหาริย์เพราะกำนันเป็นฝ่ายปกครองและตัวกำนันก็ไม่มีคุณวิเศษปาฏิหาริย์อะไร

ถ้าปล่อยให้พระชาวบ้านสำแดงปาฏิหาริย์กำนันก็จะเดือดร้อน เพราะในทางราชการฝ่ายปกครอง กระเดี๋ยวผู้คนไปเข้าหาพระกันมากเกิดเป็นกบฏผีบุญขึ้นมากำนัน ใฐานนะ ฝ่ายปกครองที่อยู่หน้างานก็จะซวย 55

ว่าแล้วกำนันก็เลี่ยงให้ภรรยาเป็นคนปรนนิบัติหาอาหารข้าวปลา มาอังคาสพระแทนตัว ตัวเองก็หลบไปสังเกตกิริยาของพระและลูกศิษย์ซึ่งเป็นเด็กอายุราว 15 ปีติดตามท่านมาด้วย

รุ่งเช้าพระออกเดินทางกำนันจึงอ้างว่าขอไปส่งก็พบว่าถนนหนทางสะอาดผิดปกติจุดที่ข้ามน้ำได้ยากก็เกิดมีสะพานเก่าๆทอดขึ้นมา

น่าแปลกใจ

กำนันส่งพระจนพ้นเขตปกครองตนเองแล้วหาทางกลับบ้านไม่ได้โซเซอยู่ในป่าถึงสี่วัน กว่าจะพบทางออกจึงเกิดความศรัทธาในตัวพระปานขึ้นมา และในภายหลังได้ติดตามไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชนำนกยูงทองจากป่าเมืองนครปฐมไปถวายเป็นเครื่องบูชาพระธาตุคู่หนึ่ง

พระปานท่านเดินทางรอนแรมไปถึงราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ก็ประสบเหตุเหมือนกับว่าการเดินหนของท่านครั้งนี้มีคนช่วยย่นระยะทาง ซึ่งคงจะเป็นใครไปไม่ได้ก็นอกจากเทวดาฝ่ายรู้รักษาถนนหนทางนั่นแหละมาช่วยอีก

ผู้บันทึกเป็นพระชื่อปลัดเลี่ยมระบุว่าวันที่ 30 กรกฎาคม 2433 พระปานเดินทางออกจากประจวบคีรีขันธ์เข้าเขตชุมพรในวันที่ 31 กรกฎาคม 2433 น่าอัศจรรย์ใจ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือค่ำวันที่ 31 กรกฎาคมท่านเดินทางทะลุมาถึงอำเภอลานสกาจังหวัดนครศรีธรรมราช! ใช้เวลาผ่านไชยาและสุราษฎร์ธานีมาได้อย่างไร ชั่วลัแนิ้ดมือ ท่านได้จำพรรษาที่ตำบลขุนทะเลแล้วจึงออกเรือมาที่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยได้แรงลมส่งเรืออย่างว่องไว (เทวดาลมช่วยอีก)

 

เทวดามาช่วย

 

ครั้นแล้วก็มีเทวดาหนุ่มมาปรากฏในความฝันขณะนอนหลับอีกว่าเมื่อไหร่จะลงมือซ่อมพระธาตุสักทีท่านจึงเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการทำงานครั้งนี้

โดยมีนายทองหมี เพื่อนรุ่นโตของท่านที่บังเอิญได้พบกลางทางรับอาสาเป็นผู้ถากถางต้นไม้ต่างๆที่รกครึ้ม ผู้คนพากันนินทาว่าท่านเป็นบ้า นายท้องหมีก็เป็นบ้า แต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อ จนอยู่มาวันหนึ่งมีกลุ่มหญิงชายพากันมาช่วยงานเคลียริ่ง (เบิกร้างถางพง) ที่เน่าเหม็นดังนี้

ผู้คนทั้งจากที่ใกล้และที่ไกลพร้อมใจกันมาร่วมงานโดยไม่มีการข่มเหงรังแกหรือฉวยโอกาสเกี้ยวพาราสีระหว่างเพศใดๆ ทำให้ลานพระธาตุสะอาดเอี่ยมอ่องขึ้นมา

ข้างวิหารม้าวิหารธรรมต่างๆที่ชำรุดหักโค่นลงจำเป็นจะต้องใช้ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างในการพัฒนาซ่อมแซม ท่านก็เดินทางขึ้นไปที่วัดชันซึ่งเป็นวัดที่มีเขตติดกับป่าตัดไม้คนทั่วไปใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมงจึงจะถึงวัดแต่ท่านไปเร็วกว่านั้นมาก

เมื่อไปถึงแล้วก็ให้พบว่ามีชาวบ้านมาชุมนุมทำบุญกันมากกว่า 100 คนซึ่งน่าแปลกใจท่านได้กราบเรียนเจ้าอาวาสว่าจำเป็นจะต้องใช้ไม้สัก 200 ต้นในการซ่อมวิหารต่างๆที่พระธาตุ

เจ้าอาวาสจึงประกาศเชิญชวนคณะศรัทธาที่มาทำบุญอยู่ ณ ที่นั้นให้ทราบวัตถุประสงค์ทุกคนก็พร้อมใจกันว่าจะไปลงแรงตัดไม้ให้แต่การขนไม้ล่องลงไปถึงในตัวเมืองเป็นไปได้ยากเพราะขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูแล้งน้ำไม่มีดังนั้นการล่องซุงไปตามคลองจึงเป็นไปไม่ได้

พระปานจึงคิดถึงว่าเทวดาไหนว่าจะช่วย? ท่านจึงว่าขอเชิญชาวบ้านตัดไม้ไปก่อนส่วนการขนส่งเป็นเรื่องหลัง แต่ในเวลาไม่ช้านาน การณ์อันชาวบ้านตัดไม้รอไว้ได้ถึง 200 ต้นนั้นก็เกิดเหตุปาฏิหาริย์ว่ามีฝนตกมากจนน้ำป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมในคลองเป็นเหตุให้ซุงทั้งหลายสามารถไหลล่องลงมาถึงท่าเมืองนครได้ด้วยตัวมันเอง!

ข่าวลือกระฉ่อน ในการปฏิสังขรณ์พระธาตุ แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศ ประชาชนใกล้ไกลต่างๆ บางพวกนำข้าวสาร อาหาร หอม กระเทียม ผักปลา เยื่อเคยและเกลือ ทำเป็นขบวนผ้าป่าแห่โห่กันมาทอดถวายไม่ขาดระยะ

บางพวกนำยานพาหนะมาช่วยเหลือ บางพวกนำไม้มาโมทนา บางพวกนกภาชนะ ถ้วยชาม โอ่งอ่าง จาน ไห มามอบ บางพวกนำสัตว์พาหนะมาถวาย

ปวงเขาทั้งนั้นมาจากสถานที่ต่างๆ ทั้ง ขุนทะเล ลานสกา ฉวาง ท่าศาลา สิชล ทุ่งสง หนองหนอน ชะเมา เสาธง พัทยาลุง สงขลา สุราษฎร์ ไชยยา หลังสวน สิ่งของต่างๆ หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย จำนวนคนก็เพิ่มจากร้อยเปนสองร้อย จากสองร้อยเป็นสามร้อย เห็นทุกวัน เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งๆ คนประจำทำงานไม่น้อยกว่าวันละ แปด ร้อยคน

หมื่นเดชากำนั้นป่าริ้ว ซึ่งเคยดูหมิ่นดูเบาเมื่อคราวท่านปานเดินทางมาพักแรมได้นำ

นกยูงทอง (นกเตาโว้) ที่เลี้ยงเชื่องแล้วมาถวาย ๑ จากจังหวัดนครปฐม

นายเหมีย ได้นำกวางที่เลี้ยงเชื่องแล้วมาถวาย ๑ จากอำนภอฉวาง

พระภิกษุร่ม กับดุงกูพระยาแขก พร้อมด้วย นางชีสาว นำช้างพลาย ๒ เชือกมาถวายจากเมืองไทรบุรี (ปิหระ)

ท่านพระครูสังวรศิลคุณกับกำนันตำบลขนอนอม (ปัจจุบันเป็นอำเภอขนอม) อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช นำเรือมาดไม้ตะเคียนมาถวาย ๑ ลำ เรือนี้ ยาว ๑๕ วา ปากกว้าง ๖ ศอก มีอุปกรณ์ก็ติดประทุนพร้อมเสร็จ กำลังบรรทุกได้ร้อยคน

เป็นเรือที่ใหญ่ยาวมาก ต่อมาได้นำขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดให้เป็นเรือพระที่นั่งพิชัยมงคล

ในเวลานี้ผู้คนมาวัดพระธาตุเพิ่มขึ้นหลายพันคน และพระปานก็จัดการต้อนรับปลูกโรงครัว ๓๐ ห้อง จัดคนไว้ต้อนรับแขก ๒๕๐ คน แจกผ้าแดงให้ไว้โพกหัว เรียกว่าทีมงาน พวกหัวแดง มีการจัดงานรื่นเริงมหรสพต่างๆมากมายเพื่อให้เป็นกำลังใจคนทำงานและคนที่มาร่วมบุญ (ต่อตอน2)