เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร

07 ก.ย. 2568 | 00:30 น.

เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • ที่มาของพระราชดำรัส "ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร" ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งหมายถึงทหารมีความสัตย์ซื่อ ถือมั่นในธรรมของทหาร และใช้อาวุธเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และบ้านเมือง
  • วินัยทหารเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยมีพระธรรมนูญทหารและอาญาศึกเป็นเครื่องกำกับดูแล เพื่อให้การบังคับบัญชาเป็นไปตามลำดับชั้นและมีประสิทธิภาพในการรบ
  • การฝ่าฝืนวินัยหรือคำสั่งในกองทัพมีโทษร้ายแรงถึงชีวิต ดังตัวอย่างการลงอาญาศึกในสมัยสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สิ่งหนึ่งที่จะต้องยอมรับกันก็คือว่าทหารนั้นท่านนับเป็นข้าราชการโดยเฉพาะประเภทหนึ่ง ซึ่งถ้าเวลาเขียนอาชีพแล้วจะต้องระบุลงไปว่ารับราชการทหาร ไม่ใช่เขียนว่า รับราชการเฉยๆเกร็ดที่น่าสนใจในสมัยรัชกาลก่อนหน้านี้นั้น คำว่ารับราชการ มีการใช้แตกต่างจาก คำว่าทำราชการ

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร์มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชมีพระราชประสงค์จะตั้งมูลนิธิชัยพัฒนาขึ้นมา ฝ่ายราชการมหาดไทยในเวลานั้น เป็นผู้ดูแลการก่อตั้งมูลนิธิทั้งหลายในประเทศ ได้จัดเตรียมเอกสารมาทูลเกล้าฯถวาย ใบเอกสารลักษณะเป็นแบบฟอร์มมาตรฐานระบุเป็นช่องให้กรอกว่าผู้ก่อตั้งมูลนิธิชื่ออะไร ประกอบอาชีพอะไร

สำหรับช่องพระปรมาภิไธยนั้น เมื่อถูกกรอกลงแล้ว ก็ทรงใช้เวลาทรงพระคำนึงระยะหนึ่งถึงการกรอกข้อความในช่องการประกอบอาชีพที่เอกสารบังคับไว้ให้กรอก แล้วจึงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า สำหรับพระองค์นั้น ท่านทรงประกอบอาชีพ “ทำราชการ” คือพระองค์ท่าน‘ทำ’เลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าทรง‘รับ’

ดังนี้จึงเป็นที่สงวนกันว่าคำว่า ‘ทำราชการ’ นั้นสงวนไว้สำหรับพระองค์ท่าน ฝ่ายทหารเหล่าหนึ่งที่สำคัญ ดูแลเรื่องเอกสารกำลังพล การบันทึกเลื่อน ลด ปลด ย้าย ต่างๆนานา ชื่อว่าเหล่าทหารสารบรรณ ใช้ตรากระบี่ไขว้กับปากกาขนนก ส่งความหมาย ถึงเป็นผู้บันทึก เรื่องราวการปกครองบังคับบัญชา มีรูปหนังสือแสดงให้เห็นหลักฐาน ต่างๆนานา อันว่ากองทัพนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่มีคนมาอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากก็ต้องมีวิธีบริหารจัดการคนหมู่มาก โดยเฉพาะเวลามีเรื่องทำความผิด/ทะเลาะกันเองก็ต้องมีตำรวจของทหารเอาไว้จับกุมและกวดขันวินัย เรียกตำรวจของทหารว่าสารวัตรทหาร หรือ ส.ห. ใช้ตราปืนสั้นไขว้ประกอบกงจักร ย่อมาจากภาษาฝรั่งว่า Military Police-ตำรวจ ของทหาร ส่วนคำว่าสารวัตรของคำไทยก็แปลว่า ผู้ตรวจงานทั่วไป มีทั้งสารวัตรที่เป็นตำรวจชั้นยศพันตำรวจตรี ส่วนฝ่ายมหาดไทยมีสารวัตรกำนัน ซึ่งเป็นทีมงานของกำนันในตำบล มีได้ 2 คน และต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด

 

เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร

 

ในอดีตนั้นเรื่องการใช้อำนาจจับกุมหากทหารกระทำความผิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก จะให้ตำรวจซึ่งนับว่าเป็นพลเรือนไปจับกุมทหาร ค่อนข้างลำบาก เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นคนมีสีทั้งคู่ มีอาวุธทั้งคู่ มีกำลังในมือทั้งคู่ บางทีจับทหารที่ทำผิดอะไรสักอย่างเข้าไปโรงพัก ถ้าชี้แจงไม่ชัดเจนหรือฝ่ายหนึ่งได้ความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เดี๋ยวพวกจะพากันไปถล่มโรงพักกันวุ่นวาย และฝ่ายถูกถล่มก็จะหาทางแก้มือยุ่งไปใหญ่

ยุคหนึ่งเขาจะมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย หากว่าผู้กระทำความผิดเป็นทหาร หากตำรวจจะไปตรวจค้นจับกุมต่างๆในบ้านทันทีต้องระวัง ต้องมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นำไปจะได้มีวิจารณญาณสูงพอตามความอาวุโสยศ ฯลฯ และถ้าจะตัดไฟกันแต่ต้นลมก็ให้ตำรวจของทหารไปจับกุมกันเอง เรียกว่าต้องกวดขันวินัยกันเองให้ได้ภายในองค์การองค์กร

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า เคยมีพระราชดำรัสตรัสสั่งถึงเรื่องวินัยทหาร เมื่อคราวเสด็จทรงรับคฑาทหารบก ในปี พ.ศ. 2466 เป็นเกร็ดที่น่าสนใจว่า “ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร” “..ก็เพราะเป็นผู้มีความสัตย์ถือมั่นในธรรมของทหาร ใช้ศาสตราวุธในการรักษาชาติศาสนา และบ้านเมือง มีความกล้าหาญไม่คิดแก่ความยากและชีวิต”

 

เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร

 

ด้วยข้อคิดสำคัญเช่นนี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชผู้เป็นพระราชนัดดาก็ได้อัญเชิญ พระบรมราโชวาทนี้มา พระราชทานต่อ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในปี 2495 ความว่า

…ทหาร พึงสำนึกในเกียรติอันสูงของตน ที่เป็นผู้มีหน้าที่คุ้มครองและรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศชาติและมั่นอยู่ในความสัตย์และวินัยทหาร ตามนัยพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงริเริ่มการจัดระเบียบกองทัพบกไทยให้เข้ารูปตามสมัยนิยม ที่ได้พระราชทานไว้ในคราวทรงรับคฑาทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2446 ซึ่งมีพระราชดำรัสไว้ด้วยว่า

“ทหาร เปนผู้แปลกกว่าโจร ก็เพราะเป็นผู้มีความสัตย์ถือมั่นในธรรมของทหาร ใช้ศาสตราวุธในการรักษาชาติ ศาสนาและบ้านเมือง มีความกล้าหาญ ไม่คิดแก่ความยาก และชีวิต” ฉะนั้น ขอทหารทั้งหลายจงสังวรณ์ และมั่นอยู่ในธรรมที่ว่านั้นให้จงมาก เพื่อความเจริญรุ่งเรื่องแห่งกองทัพบกไทย.

เรื่องธรรมของทหารนี้ แท้จริงแล้วก็คือพระธรรมนูญทหารนั่นเอง ซึ่งธรรมนูญก็ตามศัพท์คือว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดระบบระเบียบองค์กรหนึ่งๆใดๆ

พระธรรมนูญทหารนี้มีใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่โบราณกาล มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบ้างไม่มีบ้าง เป็นที่จะต้องรู้กันโดยทั่วไปบ้าง แม้จะไม่มีการเขียนไว้บ้าง อย่างที่เรียกกันว่า แบบธรรมเนียม คำว่า อาญาทัพ อาญาศึก เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบของพระธรรมนูญฝ่ายทหาร

เพราะในการรบนั้น ใช้ใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีระเบียบต้องมีวินัยต้องมีการเชื่อฟังกันทำงานเป็นทีม หากว่าใช้แต่ใจคือมุ่งมั่นเสียสละหรืออาสาออกศึกแล้วไม่มีลำดับชั้นการสั่งการก็จะลำบาก ต้องอย่าลืมว่าในสงครามสำคัญสำคัญๆ เช่นสงครามกลางเมืองในอเมริกา ทหารอาสา มักจะแพ้อยู่ร่ำไป อันนี้ก็เป็นด้วยต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ไม่มีลำดับการเคารพเชื่อฟังตามกฎตามระเบียบคิดอยู่แต่ว่าฉันนี่แหละรักชาติ ฉันนี่แหละมีจิตใจดีกว่าคนอื่น อันนี้เป็นจุดอ่อนของงานอาสาที่มีวินัยและอาศัยหัวใจแห่งความอาสาสมัครนั้นมีเสียงดังกว่าคนอื่นจนตกลงกันไม่ได้ว่าการศึกนั้นจะสั่งจะรับคำสั่งกันอย่างไร

อันอำนาจการปกครองบังคับบัญชาในราชการสงครามนั้นเป็นเรื่องที่ทหารเขาถือกันมาก และทหารทุกคนก็รู้ว่าเมื่อไปรบนั้นมันต้องมีการตายมีการสูญเสียแต่ก็ยอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของตนเข้าประจัญหน้าอาริราชศัตรู

 

เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร

 

อย่างไรก็ดีหากย้อนวันเวลากลับไปก็จะพบว่าการปกครองบังคับบัญชานั้นมีคำสำคัญอย่างคำว่า อาญาทัพ อาญาศึก ปรากฏอยู่เรื่อยๆ คือหากแม้ทหารไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด ปฏิบัติไปนอกคำสั่งนั้นหรือฝ่าฝืนก็จะต้องอาญาศึก โทษถึงฟันคอริบเรือน

เพราะผู้ที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพ เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ใช้คำว่าเบิร์ดอายวิว คือเหมือนว่านกที่อยู่บนยอดไม้มองมาในป่าเขาเห็นสถานการณ์กว้างขวางกว่าเราซึ่งกำลังเดินปะทะอยู่ในป่ามองไปก็เห็นแต่ต้นไม้ เปะปะเกะกะอยู่ ไม่เห็นข้างหลังไม่เห็นข้างบนการตัดสินใจในการรบจะฟังแต่ใจของเราอย่างเดียวไม่ได้

เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า กองทัพของพระองค์มีกองหน้าให้พระราชมนูเปนนายทัพ ทรงวางรูปแบบกลศึกเอาไว้ให้พระราชมนูเข้าตีฝ่ายตรงข้ามแล้วทำทรงทำทีวิ่งหนีแพ้พ่ายถอยร่นล่อทัพพม่าให้ตามตีมายังจุดที่ทัพใหญ่ของพระองค์ท่านรออยู่ จะได้ทรงโอบล้อมบดขยี้ให้สิ้นซาก

เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้วพระราชมนู ไม่มาตามแผน เพราะเมื่อปะทะแล้วรู้สึกว่าได้เปรียบก็คิดจะหักเอากองทัพตรงหน้าให้แตกพ่ายลงพลัน ซึ่งก็จริงอยู่ว่าสามารถกระทำได้ตามนั้นเพราะพม่าเพลี่ยงพล้ำ แต่ผลลัพธ์ก็จะชนะเพียงแต่หยิบมือเดียวไม่สามารถทำลายล้างให้ได้มากกว่านั้น ตามแผนซึ่งสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงวางเอาไว้ให้ จึงมีพระราชโองการดำรัสตรัสสั่งให้พระยาราชวังสันขี่ม้าเร็วไปบอก ให้พระราชมนูร่นถอยได้แล้ว

เที่ยวที่หนึ่งพระราชมนูก็ไม่มาเพราะว่ารบสนุกมือ มัวพัวพันอยู่ออกตามเที่ยวที่สองก็ยังไม่ยอมมา เที่ยวที่สามจึงดำรัสว่าคราวนี้ถ้าไม่มาให้ตัดหัว พระราชมนูมาให้ท่านแทน (อนึ่งพระยาราชวังสันยุคนั้นท่านเป็นแขกมัวร์ผิวดำเลื่อม น่าเชื่อว่าท่านคงชื่อ หะซัน(อาบูหะซัน) และเปน ‘บัง’-แปลว่าพี่ในภาษาแขก ผู้น้องจึงเรียกท่านว่าบังซัน ไทยเรียกตามเอาคุ้นปากต่อมาเปน บังสัน และ วังสัน ต่อๆมา เป็นที่เข้าใจอีกว่าท่านใช้เรือใบเก่งเพราะว่าท่านแล่นล่องเรือมาไกลจากแคว้นแดนของท่าน บรรดาศักดิ์ราชบังสัน ราชวังสันจึงมักใช้สำหรับผู้บัญชาการทหารเรือ จนมาถึงรัชสมัยรัชกาลที่เก้าหมดยุคศักดินาจึงเลือนหายไปจากทำเนียบนาม)

อันนี้ก็คือ พระราชมนู ต้องอาญาศึก พระยาราชบังสัน ทำหน้าที่สารวัตรไปจับกุม ส่วนสมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้า หากทรงชำระความก็ทรงเปนตุลาการศาลอาญาศึก!

 

เกร็ดต่าง ๆ ของ ทหาร 17 เหล่า (2) ตอน ทหารเปนผู้แปลกกว่าโจร

 

ส่วนในสมัยกรุงธนบุรีกลาง พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงแต่งทัพให้ “เจ้าพระยาจักรี” เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพเมืองเหนือยกขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับเจ้าพระยาสุรสีห์น้องชาย ได้เมืองเชียงใหม่แล้วพระองค์ประทับอยู่เจ็ดทิวาราตรี ก็ให้มีใบบอกเมืองตากขึ้นไปกราบบังคมทูลว่า มีกองทัพพม่าตามครัวมอญล่วงแดนเข้ามา จึงเสด็จยกกองทัพหลวงรีบลงมาเมืองตาก และเสด็จต่อไปยังพระนคร

พอถึงพระนคร ทรงได้ข่าวอีกว่าข้าศึกยกมาทางด้านพระเจดีย์สามองค์กาญจนบุรี ตีทัพพระยายมราชแขกที่ท่าดินแดง (แถวๆ สังขละ ต่อ ทองผาภูมิ) แตก ทะลุมาถึงบางแก้วราชบุรีแล้ว จึงมีรับสั่งให้เกณฑ์กองทัพในกรุง สี่พัน ยกออกไปตั้งรักษาเมืองราชบุรี ในเวลาเดียวกันทรงได้ข่าวว่าทัพหลวงจากทางเหนือกำลังเดินทางลงมาใกล้ถึงกรุงธนพระนครหลวงพอดี จึงมีพระราชดำริให้รีบเข้าช่วยเมืองราชบุรี

ว่าแล้วก็เสด็จลงประทับอยู่ที่ตำหนักแพหน้าพระราชวังกรงธนบุรีให้ตำรวจลงเรือไปคอยบอกกองทัพกรุงธนบุรีที่ยกกลับมาจากเชียงใหม่ ให้เลยออกไปเมืองราชบุรีทีเดียว อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดแวะบ้านเป็นอันขาดกองเรือที่มาถึงได้ทราบกระแสรับสั่งก็แล่นเลยมาหน้าตำหนักแพถวายบังคมลาแล้วเลี้ยวเข้าคลองบางกอกใหญ่ออกไปราชบุรีทุกลำแต่มีพระเทพโยธาผู้หนึ่งที่แวะเข้าบ้าน (อันนี้พระเทพโยธาต้องอาญาทัพเสียแล้ว) ทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ ตรัสให้เอาตัวพระเทพโยธามามัดเข้ากับเสาตำหนักแพแล้วทรงพระแสงดาบตัดศีรษะพระเทพโยธาแล้วให้เอาศีรษะไปเสียบประจานไว้ที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์

 

(ขอบคุณภาพสวยจากฝีมือสร้างสรรค์ของคุณ @มะลิแก้ว และต่อตอน 3)