ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเหล่าประดาหมอครูปู่อาจารย์ผู้มีฤทธิ์หลายๆท่าน ได้ให้คำพยากรณ์ล่วงหน้าถึงสถานการณ์เภทภัยแปลกประหลาดของบ้านเมืองว่า ภัยใดๆก็ตามที่ไม่เคยพบเคยเจอในช่วงชีวิตของคนไทยที่ผ่านมา ในปีนี้จะได้เจอเภทภัยเหล่านั้นพร้อมหน้า ก็ค่อยๆเริ่มกันมาตั้งแต่ ทะเลโคลนไหลบ่าท่วมจังหวัดภาคเหนือ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ปลายเดือนมีนาคม ที่รุนแรงจนอาคาร 30 ชั้น ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่มใส่แรงงานผู้มาก่อสร้าง สูญเสียไป กว่า 83 ราย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อยู่มาปลายเดือนกรกฎาคม ก็สมควรบันทึกไว้ว่า เกิดการรบพุ่งกันตามแนวชายแดน ไทย/กัมพูชา อย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเกิดมีมาก่อน เริ่มจากการที่ทหารกัมพูชาลอบเข้ามาวางกับระเบิด ในเขตไทย จนพลลาดตระเวนของเรา ถูกระเบิดขาขาดไปสองนาย ฝ่ายการเมืองก็มัวรีรอ ในขณะที่ฝ่ายทหารเตรียมการรับสถานการณ์เต็มที่ ส่งทีมเก็บกวาดทุ่นระเบิดสังหารออกจะดำเนินการเคลียร์พื้นที่ ทว่าในเวลาไม่นาน กัมพูชาผู้ซึ่งมโน ว่าผืนดินตรงที่ฝังกับดักระเบิดเป็นของตัวก็หาเรื่อง ใช้รถขนจรวด BM 21 เปิดฉากยิงปูพรมเข้าใส่เป้าหมายพลเรือนในเขต จ.สุรินทร์ / จ.ศรีสะเกษของไทย ทั้งที่โรงพยาบาล สถานศึกษา บ้านเรือนประชาชน มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ที่เลวร้ายมากคือ มาตกแล้วระเบิดใส่ร้านสะดวกซื้อ ในสถานีบริการน้ำมัน มีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยเฉพาะพนักงานสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และ
คุณแม่กับลูกทั้งสองที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพอดี ยังเดชะบุญว่า ไม่โดนจุดเก็บน้ำมัน ไม่อย่างนั้นคงตูมตามเปนโดมิโนไฟประลัยกัลป์อย่างมิต้องสงสัย
ฝ่ายรัฐบาลยังส่งที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกฯ มาออกสื่อ ว่าไม่อยากให้เกิดการใช้ความรุนแรง มูลค่าตลาดการค้าสองประเทศจะสูญเสียหมด คนชาติอื่นจะมาทำค้าขายแทน_บร้ะ!
อีทีนี้ประดาสังคมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ต่างก็กระหึ่มเสียงเเสดงความไม่พอใจในคำอธิบาย สวดส่งกันเปนการทั่วไปอย่างว่าสวดส่งวิญญาณคนพูด ฝ่ายกองทัพบก ได้หาทางแก้ไขสถานการณ์โดยการยิงตอบโต้ให้ไปโดนตรงจุดที่ฝ่ายศัตรูใช้เปนฐานยิงลูกระเบิดเข้ามา เพื่อระงับภัยจากต้นเหตุ ซึ่งก็สามารถยับยั้งความบ้าคลั่งของทหารกัมพูชาได้ในระดับหนึ่ง เพราะระดับที่สองนั้นทหารกัมพูชาใช้ยุทธการโล่มนุษย์ ไปตั้งจุดยิงใส่ไทยในหมู่บ้านชุมชนของตนเอง เพื่อทหารไทยซึ่งเปนผู้ดีมีคุณธรรมต้องยับยั้งชั่งใจ ถ้ายิงทำลายเข้าให้อาจสร้างเหตุลูกหลงไปโดนผู้บริสุทธิได้ !
จนกองทัพอากาศ ตัดสินใจนำเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ประจำการอยู่ โคราช/ตาคลี/พุนพิน ติดลูกระเบิดไปหย่อนทิ้งใส่ฐานคลังอาวุธในเขตกัมพูชา เพื่อตัดกำลัง อย่างตรงจุด โดยอีกทีม มีการใช้โดรนบังคับเพื่อหย่อนระเบิดให้แม่นยำอีกด้วย
ระหว่างนี้กัมพูชาระดมยิงเข้ามาอีกตามจุดปราสาทต่างๆ เลยไปใส่โรงพยาบาลสุขภาพตำบลพังยับอีก จนทหารปืนใหญ่ไทยต้องใช้ยุทโธปกรณ์ยิงทำลายที่ตั้ง และสามารถเข้ายึดเขตยุทธศาสตร์ต่างๆคืนได้ โดยเฉพาะที่ภูมะเขือ
ผู้บัญชาการกองพลที่ 7 กัมพูชา ตายในที่รบ ทหารกัมพูชาละลายไปตรงจุดนั้นๆแต่ยังไม่เลิก ยิงถล่มเข้ามาตามแนวจังหวัดอีสาณใต้เป็นระยะๆ จนผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/อุบล/บุรีรัมย์/ศรีสะเกษ ประกาศย้ำให้ประชาชนอพยพรวมกว่าแสนคน ผู้เฒ่าผู้แก่ เสียชีวิตระหว่างการอพยพไม่น้อย
พร้อมกันนั้นทหารช่างเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กัมพูชามาทำทิ้งไว้ในเขตเราออกไปหลังจากที่คาราคาซังกันมานาน
ในเวลาเดียวกันที่ ชายแดนแถวจันทบุรีและตราดเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ กองทัพกัมพูชาตั้งฐานติดอาวุธปืนระยะไกลหันปากกระบอกเข้าใส่มายังเมืองจันท์ ฝ่ายทหารเรือของเราทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาชายแดนอยู่ ทราบข่าวการแอบรุกเข้ามาวางกับระเบิดอีกในเขตแดนไทย แถบนั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต จึงประกาศกฎอัยการศึกในเขตจังหวัด จันทบุรีทุกอำเภอในเขตจังหวัดตราดโดยเฉพาะที่อำเภอเขาสมิง ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ส่งกองเรือพร้อมทั้งนาวิกโยธิน เข้าปฏิบัติการตอบโต้อย่างรุนแรงจนกัมพูชาล่าถอย แม้จะแอบหวนกลับมาเป็นครั้งที่สองก็ไม่สำเร็จ
แทรกไว้ ณ ที่นี้ ว่าการประกาศกฎอัยการศึกนั้นกฎหมายแต่ดั้งเดิมมาจนปัจจุบัน นายทหารเพียงชั้นยศพันโท(ผู้บังคับกองพัน)ก็สามารถเป็นผู้ประกาศกฎอัยการศึกได้ เพราะเหตุฉุกเฉินซึ่งหน้ามัวรอช้าอยู่จะไม่ทันการณ์ แต่กฎอัยการศึกที่ประกาศไปแล้วนั้นจะยกเลิกได้ต้องขอรับพระบรมราชานุญาตให้มีพระบรมราชโองการสั่งก่อนเสมอ
ในเวลาเดียวกันนั้นชายแดนที่ติดกันระหว่างสองประเทศยาวร่วม 800 กิโลเมตรฝั่งอุบล/สุรินทร์ ก็บังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กัมพูชาเริ่มก่อนและไม่ยอมหยุด แม้นายกรัฐมนตรีกัมพูชากับพ่อจะไปเที่ยวโม้กับนานาชาติว่าหยุดแล้ว แต่ลับหลังก็ยังคงแอบยิงใส่เข้ามาใส่บ้านคนเป็นระยะทำให้ฝ่ายไทยต้องโต้ตอบกลับไป ตามหลักการ บางวันเริ่มยิงเข้ามาตั้งแต่ตีสี่!
ส่วนนายกรัฐมนตรีไทยโดนพิษของคลิปลับที่พ่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแอบอัดเสียงเอาไว้ตอนโทรศัพท์คุยเจรจากัน จนถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำตัดสินของศาล ต้องให้รองนายกรัฐมนตรีมาปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งรองนายกฯก็บอกว่าได้มอบอำนาจให้กับกองทัพไปดำเนินการไปแล้ว
ในระหว่างที่เขียนต้นฉบับนี้ กองทัพอากาศใช้เครื่องบินกริฟเฟน (สะกดสวีดิชว่า Gripen สะกดอังกฤษ ว่า Griffen) ซึ่งผลิตโดยบริษัทSaab Scania ผู้ลือนาม บรรทุกลูกระเบิดแหวกเวหาเข้าถล่มเป้าหมายทางทหารในประเทศกัมพูชาได้อย่างทันท่วงทีถึงขั้นพ่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้ซึ่งเคยเปนผู้กองร้อยเอกในกองทัพเขมรแดงที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเดียวกันเองเมื่อ 50 ปีก่อน(แถมตาเสียหนึ่งข้างจากภัยสงคราม) ออกมาบัญชาการรบเองและตั้งนายพลจัตวาอายุ 89 ปี มารักษาการณ์ ผู้บัญชาการกองพลที่เจ็ดแทนคนเดิมที่เสียชีวิตไป โดยก่อนหน้ามีข่าวลือว่าพ่อของนายกรัฐมนตรีกัมพูชากลัวจะถูกเด็ดหัวเหมือนอย่างบินลาเด็น เนื่องจากชนในชาติของแกส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการมาเที่ยวระราน หาเรื่องจะทำสงครามให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว เพราะตัวเองคนเดียว การปฏิบัติการเด็ดหัวจึงดูไม่ค่อยมีใครขัดขวาง ว่ากันว่าแกจึงรีบนั่งเครื่องบินส่วนตัวหนีสถานการณ์ออกไปเมืองจีนแต่ได้รับคำปฏิเสธจากฝ่ายจีนไม่ให้นำเครื่องลงจอด 55
ส่วนเจ้ากริฟเฟ่นนี่ แท้จริงแล้วเป็นสัตว์วิเศษในตำนานของสวีเดนคือสิงโตที่มีปีกและหัวเปนนกอินทรี บ่งนิยามความหมายของความรวดเร็วและน่าเกรงขาม ทุกวันนี้ยังปรากฏตัวอยู่ในโลโก้ของรถ saab ทุกคัน และเหล่านักบินแต่ละท่านก็มักนิยมใช้รถยี่ห้อนี้ ในสถานการณ์การรบนี้ รัฐบาลบอกว่ายังไม่ถึงขั้นสงคราม อยากใช้คำว่าการปะทะแทนเหมาะกว่า ซึ่งก็เป็นไปตามลักษณะความอะลุ่มอล่วยประนีประนอมของรัฐบาลชุดนี้ที่มีต่อประเทศกัมพูชาเรื่อยมา
ซึ่งก็ในทางประวัติศาสตร์นั้นการที่จะมีสงคราม เขาก็จะต้องประกาศสงครามให้เป็นเรื่องเป็นราวกันเสียก่อน ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หก มีพระบรมราชโองการ ประกาศสงคราม หลักฐานยังยืนยันอยู่ในเหรียญตราอย่างทำนองเหรียญราชอิสริยาภรณ์ จารึกว่า “งานพระราชสงครามในทวีปยุโรป” แพรเเถบสีดำแดง งามงด เมื่อมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามแล้ว ทรงฉลองพระองค์พระภูษาไหมแดง โจงกระเบนไทยสีแดงเลือดนกตามกำลังวันอาทิตย์ (วันนั้น)
โดยด้านในทรงเสื้อยันต์นักรบไทยโบราณไม่มีแขนสีแดง รังดุม ๕ เม็ด (นัยว่าคือฉลองพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เคยทรงยามเสด็จออกศึก) แล้วทรงสวมฉลองพระองค์แพรไหมแดงไว้ชั้นนอก เป็นแบบฝ่าอกครึ่งกลัดกระดุมโลหะ ๕ เม็ด ทรงคาดพระภูมิษาผ้าสมรดพื้นแดงคลุมด้วยสมรดตาดไหมทองแล่งผูกห้อยชายไว้ข้างซ้าย ถุงพระบาทและฉลองพระบาทสีแดง คล้องพระสังวาลนพรัตน์ราชวราภรณ์เฉวียงพระอังสา ทัดดอกลำเจียกสีแดงที่พระกรรณเบื้องขวา หมายถึงชัยชนะ ทัดใบมะตูม ๓ ใบ ที่พระกรรณเบื้องช้าย หมายถึง ตรีศูลเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพของพระอิศวรเป็นที่หวั่นเกรง แก่ ทวยเทพ และอสูรทั้งปวง พระหัตถ์ขวาทรงถือช่อชัยพฤกษ์ (บางตำราว่าคือช่อใบยอ)อันหมายถึงชัยชนะ พระหัตถ์ซ้ายทรงถือพระแสงดาบคาบค่ายในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งลือกันว่าที่ใบดาบด้านใกล้สันยังมีรอยพระบรมทนต์ (รอยฟันกัด) ของสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าท่านประทับอยู่ เนื่องจากทรงคาบพระแสงนี้ไว้ในพระโอษฐ์ (ปาก) ยามเมื่อทรงปีนกำแพงขึ้นเข้าปล้นค่ายพระเจ้านันทบุเรงของพม่า อันเป็นพระแสงดาบที่ทรงกฤดานุภาพอันยิ่งใหญ่ เปนหนึ่งในเครื่องมงคลพิชัยสงครามของชาติไทยเรา
วันนั้นทรงประทับพระบาทเหยียบใบฝรั่ง(ทำสงครามกับฝรั่ง) เป็นการตัดไม้ข่มนาม_บดขยี้อริราชศัตรู สถานการณ์การรบไทย/กัมพูชา รอบนี้แม้จะยังเปนเวลาไม่กี่วัน แต่มีทหารหาญประจำการ 15 ท่าน ที่สละชีพเพื่อชาติไปแล้ว จึงขออนุญาตหยุดพักที่บรรทัดนี้เพื่อสดุดีและเทอดเกียรติของท่านเหล่านั้น ด้วยบทความ
“เราผู้กล้ารบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย” ว่าการณ์อันปวงผู้คนเราทั้งหลายสามารถยืน/เดิน/นั่ง/นอน อยู่ได้บนแผ่นดินใดๆโดยสงบ ผาสุก และมีเสรีย่อมต้องคำนึงถึงท่านบรรพชนทั้งหลาย ผู้เลือกชัยภูมิกำเนิดและลงหลักปักฐานไว้ให้แต่เก่าก่อน รวมไปถึงท่านผู้เสียสละเลือดเนื้อ/ชีวิต และความลำบากยากเข็ญปกป้องภัยอันตรายต่างๆนานารักษาเอาไว้ให้
คำว่า - เราผู้กล้ารบ เพื่อเกียรติศักดิ์ไทย - นี้ เปนคำขวัญ ประจำเหรียญตราสำคัญกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่าเหรียญชัยสมรภูมิ ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็น “เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ” แตกต่างจาก ‘เหรียญกลุ่มบำเหน็จในราชการ’ ซึ่งจะกล่าวถึงอีกทีเมื่อมีโอกาส ท่านนักรบผู้ใหญ่ที่ ผ่านสถานการณ์แหลมคมมามาก เข้าร่วมในสมรภูมิสำคัญๆมาก็เยอะที่หน้าอกพวกท่านมักกลัดเหรียญชัยสมรภูมิ ที่ได้รับพระราชทานเหล่านี้
จากรูปที่เชิญมานี้ ฯพณฯ อดีตประธานองคมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ล่วงลับ ร่วมรบในสมรภูมิสงครามอินโดจีน สมรภูมิสงครามมหาเอเชียบูรพา ประดับเหรียญชัยสมรภูมิแพรแดง และ เขียว ฯพณฯ พลเอกบัณฑิตย์ มลายอริศูนย์ องคมนตรี ร่วมรบในสงครามเกาหลีประดับเหรียญชัยสมรภูมิสงครามเกาหลีแพรสีฟ้าขาวเสมอไป (ท่านเปนนายกสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลีด้วย) เหรียญชัยฯ รุ่นแรกๆนี้ มีคำขวัญว่า “เราผู้กล้ารบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย” ต่อมาย่อเป็น “เรารบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย”
ด้านหน้าเป็นตราสมเด็จพระนเรศวรเป็นจ้าว ทรงพระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย(หนึ่งในเครื่องอัษฎาวุธสำคัญของไทย) ประทับบนคอช้างเจ้าพระยาปราบหงสาวดี (เดิมชื่อ พระยาไชยานุภาพ ชาวบ้านเรียกพ่อพลายพุทรากระแทก) แวดล้อมด้วยเหล่าทวยหาญแลข้าศึก
ในราชการสงครามคราวที่ทรงกระทำยุทธหัตถีด้วยสมเด็จพระมหาอุปราชามังสามเกียดได้รับชัยชำนะ มีคำจารึกใต้เหรียญว่า “กู้ชาติ” ด้านหลัง จารึกว่า “เรารบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย”
บรรทัดนี้ขอเรียนเชิญชวนท่านผู้อ่านได้อนุสรณ์คำนึงถึง “ท่านผู้กล้ารบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย” พลทหาร วรัญชิต ยวงสุวรรณ, จ.ส.อ. ธวัชชัย บุสภา, ส.อ. จิรายุ สิงห์อ้น, ส.อ. นพดล บุญเลิศ, ส.อ. กฤษฎา น้อยโคตร, ส.ท. ศราวุฒิ นามสวัสดิ์, ส.อ. จิรายุส อินทุมาน, พลทหาร ณาณพัฒน์ โคตรสาขา, ส.อ. อัมรินทร์ ผาสุข, พลทหาร สิรวิชญ์ ภิญโญสุข, จ.ส.อ. อโณทัย ป้องแก้ว, จ.ส.อ.ธีระยุทธ สีจุ้ยจ้าย, จ.ส.อ.อภิรมย์ ทรงพุฒิ, พลทหาร ธีรยุทธ กระจ่างทอง, ส.ท.ต่อพงษ์ พันดวง
ในวันที่เพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเปิดฉากรุกรานอย่างไร้สำนึก ตั้งแต่วันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568
ขอดวงวิญญาณของท่านผู้กล้าหาญเสียสละกล้าที่จะรบเพื่อเกียรติศักดิ์ไทย จงได้รับการเทิดเกียรติสรรเสริญโดยความอาลัยเหลือแสน ขออานุภาพเเห่งความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของทุกท่าน จงเป็นพลวัตปัจจัยดลให้ทุกๆท่านได้สถิตในทิพยวิมานอันเป็นที่สงบสัปปายะสถาน ตลอดกาลนานเทอญ
ด้วยจิตคารวะจากพวกเราผู้ร่วมชาติไทย
29 กรกฎาคม 2568