KEY
POINTS
ยังคงต่อกันด้วยธีมเรื่องซอฟท์พาวเวอร์ของไทยที่จะหาทางไปสู่สากล_โก อินเตอร์ ฉบับนี้ขออนุญาตนำท่านขึ้นไปร้อยเอ็ดและเมืองเลยกันบ้าง งานประเพณีชื่อดังของทางร้อยเอ็ดนั้นจะต้องยกให้ งานบุญผะเหวด ซึ่งเปนคำย่อที่ล้อ (อนุวรรตไปตาม) สำเนียงท่านผู้ดีอีสาณเรียกชื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งขึ้นชื่อนักเรื่องการเสียสละอย่างมหาศาลเกินกว่าคนทั่วไปจะสละได้อย่างว่า พระเวสฯ-คือ ผะเหวด เปนบุคคลท่านเดียวกัน
เปนพระเวสสันดรโพธิสัตว์ผู้เสียสละของรักของหวงได้หมดทั้งของบ้านเมืองอย่างพญาช้างปัจจัยนาเคนทร์ ทั้งของส่วนตัวอย่างลูกสาวลูกชายอย่างกัณหาชาลี และภริยาอย่างนางมัทรี ซึ่งท่านผะเหวดจะมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่าก็มิทราบได้ แต่ถ้าหากว่าไม่มี อย่างน้อยนั้นก็ต้องเรียนว่า ท่านนี่แหละคือตัวอย่างของการบุคลาธิษฐานฝ่ายทานบารมีที่สตรองที่สุด (การกำหนดให้สิ่งที่ไม่ใช่คนให้กลายเป็นคน -personaltification) คือการกำหนดให้ทานบารมีที่ยิ่งใหญ่เปนคนชื่อพระเวสสันดร
ตำนานของพระเวสสันดรนั้นท่านก็เปนเจ้าชายอยู่ในกรุงที่เจริญแล้วแห่งหนึ่งชื่อสีพี (กรุงใหญ่กว่านคร ตามแบบธรรมเนียมศัพท์นักการทูต) ท่านเปนผู้ซื่อตรงในการให้ทาน คือ ใครขออะไร ท่านก็ให้ ให้อยู่เปนประจำเปนนิสัย
อยู่มาวันหนึ่งการให้ที่วิกฤตของท่านก็เกิดขึ้น กล่าวก็คือว่ามีบ้านเมืองแล้งแค้น (ใช้ ล ลิงสะกด เพราะแล้งจริงๆ55)แห่งหนึ่งชื่อนครกลิงคราษฎร์ อากาศเปนอาเพศแห้งแล้งจนชาวเมืองอดเคียดแค้นธรรมชาติไม่ไหว ทำไมไม่ปล่อยน้ำฝนโปรยลงมาสักที ลำบากจะตายอยู่แล้วเนี่ย!
คิดหาเหตุผลที่มาที่ไปไม่ได้ก็สู้คิดหาทางแก้ไขกันดีกว่า ก็ในโลกยุคนั้นเป็นที่รู้กันว่าในเมืองของพระเวสสันดรนั้นมีช้างวิเศษคู่บุญอยู่เชือกหนึ่งชื่อว่าช้างปัจจัยนาเคนทร์ มีฤทธิ์วิเศษในการสร้างความอุดมสมบูรณ์เรียกฝนได้ พวกกลิงคะนั้นก็จึงได้แต่งนักบวชประมาณ 8 คนมาขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ ออกไปไว้เมืองของตนเพื่อได้มีฝนใช้บ้างซึ่งท่านก็ยกให้แต่โดยดีเพราะว่าท่านเป็นคนชอบให้ทาน
อีทีนี้ว่าเมื่อพญาช้างออกเดินทางไปสู่เมืองใหม่ ก็ส่งผลให้กรุงของพระเวสสันดรประสบเหตุความแห้งแล้งแสนสาหัสขึ้นทันตาเห็น ชาวบ้านชาวเมืองตกระกำลำบาก ก็นอกจากความแล้งแล้ว ทีนี้ก็ให้บังเกิดความแค้นขึ้นมา ว่าเจ้าชายของตนเอาของมีค่าไปให้เมืองอื่นเค้าได้ยังไง๊ พระบิดาผู้กษัตริย์ทานอำนาจประชาชนร้องแรกแหกกระเฌอคุ้มคลั่งไม่ไหว พิจารณาดูแล้วก็เป็นความจริงที่เจ้าชายของตนเป็นต้นเหตุสร้างความเดือดร้อน จึงอาศัยเสียงของประชาชนทำการเนรเทศพระเวสสันดรและครอบครัวออกไปจากเมืองโดยไม่รอตั้งศาลรัฐธรรมนูญให้มาวินิจฉัย
พระโพธิสัตว์ผู้ใจบุญของเราก็คงออกเมืองไปโดยไม่มีคำโต้แย้ง จนควรจะเปนเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์(เมืองอื่น)ได้บาป(แก่ตนเอง)ความทุรกันดารของท่านผู้ประสบภัยก็มีว่าก่อนจะไปถึงป่าก็มีคนมาขอราชรถที่ท่านและคณะครอบครัวโดยสารมา ท่านก็ให้เขา เราต้องเดินเองหอบหิ้วข้าวของลูกหลานกันโนงเนง
ซมซานเลาะลัดผ่านเมืองทองต่างๆ จนกระทั่งมาเจอป่าที่เหมาะกับการพักอาศัย ก็ยังโชคดีที่พระอินทร์ มาเนรมิตสร้างศาลาเอาไว้ให้ได้พำนัก อย่างสุขสบายพอใช้ แม้ว่าจะต้องหาผลไม้และอาหารกินเองก็ตาม
เรื่องราวอันเป็นไปในป่าของท่านมีอีกมากมายมีคนมาขอโอรสธิดาของท่านไปใช้เป็นทาส คนขอนั้นชื่อชูชก แม้จะเกิดในวรรณะพราหมณ์แต่ก็เป็นพราหมณ์ขอทาน ซึ่งนอกจากขอเงินคนแล้ว งวดนี้ก็ขอคนจากคนสะดวกเอาไปเป็นทาสใช้งาน มิใยว่า ลูกสาวลูกชายของท่านพากันหนีไปซ่อนอยู่ในสระบัว (ก็ใครเล่ามีชีวิตเป็นเสรีชนอยู่ดีๆจะมาถูกยกให้ไปเป็นทาสก็ต้องดิ้นรนหลบหนีกันเต็มความสามารถ) แต่พระบิดาก็ไปกล่อมจนสำเร็จ
เหตุการณ์การขออย่างไม่บันยะบันยังก็ยังเกิดขึ้นกับผะเหวดโพธิสัตว์เป็นระยะ จนกระทั่งมีพระอินทรแปลงกายมาลองใจขอนางมัทรีพระชายา ท่านเขาก็ตัดใจยกให้!
อยู่มาวันหนึ่งการบำเพ็ญทานของท่านคงจะเต็มที่แล้ว พระบิดาของท่านผู้ซึ่งได้พบกับหลานปู่ทั้งสองคือกัณหาชาลี ระหว่างที่ตกเป็นทาสของชูชก และได้หาทางไถ่ตัวหลานมาได้สำเร็จคงทนไม่ไหวจึงได้ออกไปเชิญลูกชายกลับมาครองเมือง
ในตอนนี้เอง ประดาสัตว์ป่าช้างม้า ซึ่งได้ซาบซึ้งใจในคุณธรรมความเมตตาของผู้มีแต่ให้นามว่าพระเวสสันดร ก็พากันมาส่งท่านออกจากป่า อีกพวกหนึ่งที่มาส่งท่าน ก็คือพวกผีป่า ซึ่งมีผู้สังเกตเห็นขบวนส่งเสด็จพระเวสสันดรมีผีตามมาด้วยจึงเรียกผีนั้นว่าผีตามคน
ซึ่งระยะหลังมาที่เมืองเลย เรียกใหม่ตามสำเนียงท้องถิ่นว่าผีตะโค้นแล้วเพี้ยนมาเป็นผีตาโขน เกิดเป็นตัวละคร มาสค้อตหลักของจังหวัด ใช้เด็กวัยรุ่นเอาหวดนึ่งข้าวเหนียวใส่หัว ทำจมูกทำมือให้มันยาวยาว บ่งบอกลักษณะความแปลกประหลาดผิดมนุษย์ของผี จะมาปรากฏตัวในงานบุญ ผะเหวดของเมืองเลย ซึ่งเขาจะร่วมงานอื่นเข้าไปพร้อมกันอีกสองงานคือบุญบั้งไฟ และงานบุญซำฮะ (ชำระ)
เหตุที่งานบุญผะเหวดความยิ่งใหญ่อลังการในหมู่จังหวัดภาคอีสานตอนกลางตอนบนก็ด้วยความนับถือ ในหลักประเพณีที่เรียกว่า ฮีต(จารีต) 12 ครอง 14 ซึ่งหนึ่งในจารีต 12 เดือน นั้นก็คืองานบุญผะเหวดนี่เอง ที่จะต้องหาทางฟังเทศน์มหาชาติเรื่องพระเวสสันดรได้ครบทั้งเรื่องในวันเดียวจึงจะนับเป็นอานิสงส์มหาศาลอานุภาพของกุศลนี้จะพาไปให้เกิดทันยุคพระศรีอาริย์ ผู้คนย่านนั้นจึงมีความสุขใจกับการจัดงานประเพณีนี้ตลอดมา
ส่วนคำว่าการเทศน์มหาชาตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ชื่อก็บอกแล้วว่า มหาก็แปลว่าใหญ่เพราะเรื่องของพระเวสสันดรท่านมีมากถึง 13 ตอน(กัณฑ์) ได้แก่ 1. กัณฑ์ทศพร เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าหวนกลับกรุงกบิลพัสดุ์ บ้านเมืองแล้งจัด ได้ทรงแสดงฤทธิ์เกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ พระสาวกเห็นเป็นอัศจรรย์ พระองค์จึงเล่านิทานชาดก เมื่อครั้งเกิดเป็นพระเวสสันดร 2. กัณฑ์หิมพานต์ เล่าถึงการกำเนิดของผะเหวด และเล่าถึงคดีช้างปัจจัยนาเคนทร์ จนต้องโดนเนรเทศ
3. กัณฑ์ทานกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องพระมารดาร้องขออภัยโทษ แต่พระเวสสันดรให้ทานใหญ่แล้วขออำลาไปป่า 4. กัณฑ์วนปเวสน์ ว่าด้วยเรื่อง มี 4 กษัตริย์หวังดี แต่ลงเอยเปนการไปรบกวนการเข้าป่าพระเวสสันดรเข้า 5.กัณฑ์ชูชก ที่มาของคดีขอเด็กๆไปเปนทาส 6.กัณฑ์จุลพน (จุล-พนา) ป่าน้อย ชูชกเดินลุยป่าน้อยไปหลอกตามหาพระเวสสันดรที่รู้มาว่าบำเพ็ญพรตเปนฤาษีอยู่เขาวงกต 7.กัณฑ์มหาพน (มหา-พนา)ป่าใหญ่ ที่ชูชกลุยไปพบพระอจุตฤาษีลวงว่าจะมาคุยธรรมะกับพระเวสสันดร พระฤาษีก็หลงเชื่อบอกเส้นทาง ไปเขาวงกตให้
8 . กัณฑ์กุมาร ชูชก ขอสองลูกน้อย กัณฑ์มัทรี ว่าด้วย กรณี เทวดาแปลงกายมาเป็น 3 เสือขวางทางไม่ให้พระนางมัทรีขัดขวางการทำทานมอบบุตรธิดา 10.กัณฑ์สักกบรรพ คดีขอนางมัทรี 11 . กัณฑ์มหาราช คดีพระเจ้าปู่ไถ่หลาน จุดจบชูชก เห็นแก่กินจนท้องแตกตาย คดีอัญเชิญพระเวสสันดรคืนวังและการคืนช้างปัจจัยนาเคนทร์
12 . กัณฑ์ฉกษัตริย์ ว่าด้วยเรื่อง ครอบครัวพระเวสสันดรทั้ง 6 กษัตริย์กลับกรุงสีพี 13 . กัณฑ์นครกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องผลแห่งทาน ผลแห่งศีล และผลแห่งพระบารมี 30 ทัศ ของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เมื่อกลับมาถึงกรุงสีพีแล้วบังเกิดฝนใหญ่ตกลงมาสร้างความชุ่มชื่นร่มเย็นแก่ชาวเมืองสีพี
ซึ่งก็เป็นไปได้มากว่าถ้าหากผู้ใดได้ฟังเนื้อหาโดยละเอียดทั้งหมดของทั้ง 13 ตอนแล้ว ได้ลงพิจารณาโดยแยบคายก็ย่อมจะเกิดพุทธิปัญญามีความเข้าใจลึกซึ้งในเล่ห์กลของมนุษย์ กลวิธีต่างๆของทั้งผู้ร้ายผู้ดีของทั้งผู้ปกครองผู้ถูกปกครองแนวทางขัดเกลากิเลสความเป็นไปของโลกย์และความเป็นไปของธรรมะ พิจารณาดีๆอย่างนี้เผลอเผลออาจเบื่อหน่ายคลายยินดีจนบรรลุธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องรอเข้าพบพระศรีอารยะเมตไตรย์ที่จะเสด็จมาอีกพันๆปีเลยก็เป็นไปได้
ส่วนการละเล่นผีตาโขนนั้นงานบุญผะเหวดที่ร้อยเอ็ดอาจจะไม่ได้เล่น เล่นกันโดยเป็นประเพณีอย่างยาวนานที่จังหวัดเลยโดยเฉพาะที่อำเภอด่านซ้าย โดยนำงาน บุญผะเหวด งานบุญบั้งไฟ งานบุญซำฮะ (สะเดาะเคราะห์บ้านเมือง) และการละเล่นผีตาโขนมารวมเป็นงานเดียวกัน เพื่อเป็นการบูชาอารักษ์หลักเมือง และพิธีการบวงสรวงดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองนับถือ
ส่วนอันว่าความสำคัญของงานบุญผะเหวดนั้นมีอยู่ที่ว่ามันทำยากและเป็นงานที่วุ่นวายยิ่งใหญ่ ต้องใช้ความสามัคคีในหมู่คณะเป็นอย่างมากเตรียมงานเทศน์มหาชาติ เริ่มจากการเตรียมสถานที่ ประดับประดาด้วยธงทิว ธงใยแมงมุมต่างๆ ต้นไม้ กล้วย อ้อย ดอกไม้จริง ดอกไม้ปลอม เพื่อจัดสถานที่ให้ตรงกับเรื่องราวของการเทศน์แต่ละตอน ต้องตรียมอ่างน้ำเพื่อจุดเทียนประจำกัณฑ์ เมื่อเสร็จแล้วน้ำในอ่างก็ถือเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ไหนจะต้องเตรียมเครื่องบูชากัณฑ์เทศหลายอย่างซึ่งแต่ละอย่างต้องมีถึง1,000 ชิ้น รวมไปถึงต้องสร้างหอพระอุปคุต และทำพิธีอัญเชิญท่านขึ้นมาเพื่อคุ้มครองการจัดงานให้ราบรื่น ไม่ให้มีมารผจญ ไหนจะต้องจัดขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมืองมีฉัตร ธงทิว เครื่องประโคมพร้อมมูล แห่มาที่ศาลาโรงธรรม เวลาเย็นมีสวดมนต์เจ็ดตำนาน เทศน์มาลัยหมื่น มาลัยแสน และถึงเวลาตี 3 ของวันงานมีการแห่ข้าวพันก้อนไปบูชาพระอุปคุต แล้วประกาศเทวดา อาราธนาพระเทศน์สังกาส (บอกศักราช)พรรณนาอายุพระพุทธศาสนา แล้วเทศน์เวสสันดรชาดกตั้งแต่ต้นจนจบในวันเดียว
ศิลปินจากรั้วจามจุรี ผู้หนึ่ง พื้นฐานเปนชาวเมืองเลย เมื่อเป็นเด็กได้รับรางวัลยอดเยี่ยม/เหรียญทอง จากเวทีมหกรรมความสามารถ ทางศิลปะหัตถกรรมเยาวชนมาแล้ว ชื่อว่า โจ๊ก สุภัชชัยศรีบุรินทร์ วาดภาพ
ส่งพระเวสเข้าเมือง ปี 2567 เทคนิค : สีอะคริลิคบนผ้าใบ ได้สวยงามเปนสากล เล่าว่า “ขอใช้พื้นที่สร้างงานศิลปะแสดงภาพขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมืองโดยปรากฏผีตาโขนและเครื่องประกอบพิธี องค์ประกอบต่างๆในประเพณีที่ล้วนเป็นงานศิลปะที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความเชื่อความศรัทธา ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวจนไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ และภูมิปัญญาของผู้คนที่ถ่ายทอดออกมาด้วยความตั้งใจ ผสมกับความรัก ความสามัคคีต่อความศรัทธาร่วมกันทำให้เกิดสุนทรียภาพของท้องถิ่นที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ อบอวลไป ด้วยเรื่องราวของตำนานอันมีมนต์ขลัง สิ่งเหล่านี้ไปกระทบกับความรู้สึก ซึ่งสามารถให้ทั้งความรื่นรมย์ ความปลื้มปิติ และยัง ขัดเกลาจิตใจมนุษย์ให้งดงามมากยิ่งขึ้น”
ต่อข้อถามถึงช้างม้าที่ปรากฏในภาพว่ามีลักษณะโครงสร้างร่างกายที่ทื่อๆไปหน่อยไหม หุ่นโครงช่างต่างกับสัตว์เหล่านี้ที่มีหุ่นสวยๆในโลกความเปนจริง โจ๊กก็ว่า
“ช้างกับม้าเป็นองค์ประกอบของการแห่พระเวสสันดรสันดรเข้าเมืองครับ บางที่ในวันงานก็ทำใหญ่มากแบบขึ้นนั่งขี่ได้ บางที่เล็กๆสำหรับแห่เป็นสัญลักษณ์ สำหรับผมนั้น ให้ความสนใจความสวยงามความน่ารัก ที่พี่น้องชาวบ้านช่วยกันตกแต่ง ด้วยการระบายสี กระดาษสีให้สวยงาม และยิ่งใหญ่ เป็นเหมือนการเฉลิมฉลอง ด้วยความซื่อ และตรงไปตรงมามากกว่า เลยนำเสนอโครงสร้างที่อาจจะแตกต่างไปครับ”
ถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณผู้อ่านพิจารณาดูงานแต่ละชิ้นประกอบคำบรรยายอาจจะเริ่มเห็นด้วยกับโจ๊กขึ้นมาบ้างแล้ว ในเรื่องคุณค่าของงานศิลปะที่ช่วยจรรโลงใจคน อย่างไม่เลือกชาติศาสนาภาษาและวัฒนธรรม เหมาะกับการไปต่อในการสื่อสาร soft power ผ่านงานศิลปะไทยไปสู่สายตาชาวโลกจริงๆเลย