KEY
POINTS
ทีนี้ก็ต่อเนื่องมาสำหรับข้อเขียนชุดม้าไตรภาคซึ่งควรจะจบลงตรงการปรากฏตัวของ ‘ม้าเสพนาง’ ซึ่งเป็นเครื่องรางชิ้นสำคัญที่คนในวงการนิยมหากันมากและลามปามความนิยมไปยันนักสะสมเมืองจีนรุ่นใหม่กันนู่นเลย
อันว่าปรากฎการณ์ของม้าเสพนางนี้ มาเป็นที่รู้จักกันมากในทศวรรษแรกๆหลังยุคกึ่งพุทธกาลโดยเป็นหนึ่งในภาพเขียนประกอบผ้ายันต์ของครูบาวัง วัดบ้านเด่น ที่ตำบลหนองบัวเหนือเมืองตากของเรานี่เอง โดยตำบลหนองบัวเหนือ_หนองบัวใต้ในเมืองตากปัจจุบันนี้ ท่านถือกันว่าเป็นเมืองตากใหม่ ด้วยว่าเมืองตากเก่าอยู่เหนือขึ้นไปตรงละแวกอำเภอบ้านตาก/อำเภอสามเงาตรงเขื่อนภูมิพล (ยันฮี) ในปัจจุบัน
มีหลักฐานสำคัญคือมีพระบรมธาตุบ้านตากประดิษฐานอยู่และถือว่าเป็นจุดชนช้าง_ยุทธหัตถีของสมเด็จพระรามคำแหง (อายุ 19 ปี) ได้ชัยชนะเหนือขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ต่อมาบรรพชนเมืองตากเห็นว่าใกล้ชายแดนมากไปจึงย้ายลงมาตั้งมั่นที่บ้านระแหงริมน้ำปิง เรียกกันใหม่ว่า ‘ระแหง-แขวงเมืองตาก’ อย่างน้อยก็เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าตากสินนั่งเมืองเป็นที่พระยาตากจวนของท่านตั้งอยู่เชิงเขาริมปิงละแวกหนองบัวนี้พงศาวดารว่าอยู่ปากห้วยแม่ท้อต่อเข้ากับน้ำแม่ปิง ซึ่งห้วยแม่ท้อนี้ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติลานสางทางขึ้นแม่สอด/น้ำตกท่าเล่ย์ เหนือขึ้นไปอีกราว 20 กิโล
ย่านบริเวณตั้งจวนนี้อยู่ใกล้กับป่ามะม่วง ในยุค 2530s ที่กิจการเหมืองแร่เมืองตากรุ่งเรืองถึงขีดสุด เคยมีคลับเฮ้าส์สร้างไว้ริมปิงในนามว่า River Den Clubhouse หรูหราก่อนจะโรยราไปหลังจากแร่หมดใน 10 ปีถัดมา
จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้บารมีถึงที่นายกรัฐมนตรีสองสมัยก็เป็นคนเมืองตาก ให้ความนับถือครูบาวังเป็นอย่างมากฝากตัวเป็นศิษย์ตามอย่างบิดาของท่านคือขุนโสภิตฯ ตัดถนนเข้าวัดนำความเจริญมาสู่ชุมชนเล็กๆที่บ้านเด่นแห่งนี้แต่นั้นมา
ส่วนหลวงพ่อครูบาวัง พรมเสโนเองนั้นแท้แล้วเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือในราชตระกูล ณ ลำพูน สายเจ้าแก้วมหาวงศ์ โอรสของเจ้าพ่อหนานทิพย์ช้าง ต้นวงศ์ทิพย์จักรเชื้อเจ็ดตน บวชเณรตั้งแต่อายุ 12 เคยจาริกธุดงค์ลำพังไปถึงพระมหาเจดีย์ชเวดากองเมืองย่างกุ้ง
วันหนึ่งท่านล่องแพมาตามน้ำปิงพักแพที่บ้านเด่น ชาวบ้านนิมนต์ให้จำพรรษา ครูบาเจ้าก็รับอาราธนา ท่านมีวิชชาสงเคราะห์ผู้คนหลากหลาย โดยเฉพาะคนบ้า คนเสียสติ ท่านใช้วิชาเต่าเรือนทำขี้ผึ้งปั้นจุดไฟรมควัน ฯลฯ ครูบามีดวงจิตโพธิสัตว์เต็มดวงมีความเมตตาล้นพ้นประมาณ คำพูดติดปากของท่านมีว่า “ต้องการอะไรจากพ่อ..บอกมาเถิดไม่ต้องเกรงใจ..ลูกจะเอาอะไร” นับเป็นวัตรปฏิบัติที่ยิ่งไปกว่าสมมติสงฆ์ธรรมดาทั่วไปโดยแท้ ทุกคนต่างเรียกท่านว่าตุ๊พ่อ_พระพ่อ ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า-พ่อพระ
ผ้ายันต์ของท่านนั้นเรียกกันในยุคสมัยว่า ‘ผ้ายันต์มหาเมตตา’ ไม่ได้เรียกผ้ายันต์ม้าเสพนางมาตั้งแต่แรก ด้วยว่าอักขระเลขรูปยันต์นั้นเป็นของที่รวมเอาความน่าพิศวง แห่งความเมตตามาอยู่รวมกัน 5 ประการ
หนึ่ง คือ รูปลูกหนูดูดนมแมว ซึ่งปกติแล้วแมวต้องเป็นศัตรูกันกับหนู แต่ด้วยอิทธิคุณของความเมตตาพ้นประมาณ ทำให้แมวไม่ทำหนูทั้งยังยอมเลี้ยงดูโดยให้ดูดน้ำนมกินอีก
สอง คือ รูปโคดูดนมเสือ ซึ่งโดยปกติแล้วเสือย่อมจับวัวกินเป็นอาหารแต่คราวนี้กลับไม่กินแถมยังให้นมเลี้ยงชีพอีก
สาม คือ รูปวัวเสพนาง ซึ่งปกติจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะยอมให้สัตว์มาร่วมสู่สม (ถ้ามิได้มีอาการทางที่เรียกว่า zoophilia)
พอกันกับรูปที่สี่ คือ ม้าเสพนางส่วนรูปสุดท้ายกลางผืนผ้ายันต์จะเป็นรูปพญาเขาคำกับนางสนมสองคนซึ่งจะขอละไว้เล่าภายหลังเพราะยาวนัก
กลับมาโฟกัสกันที่กรณีว่าม้าเสพนาง กับ วัวเสพนาง เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีหนูกินนมแมว/โคดูดนมเสือ ก็จะเห็น analogy บางประการกล่าวคือว่า อันความสมบูรณ์ในชีวิตของปุถุชนผู้ยังข้องอยู่ในโลกย์นั้น ย่อมประกอบด้วย กินกับกาม เป็นอาทิ หนูได้กินนมแมวก็ถือว่าอิ่มท้องจากของที่ได้มายากยิ่งลำพังหานมจากแม่หนูตัวอื่นกินก็ยากมากแล้ว มาได้นมของนางศัตรูแมวย่อมยากยิ่งกว่า โดย ศัตรูนั้นยังโตกว่ามีอานุภาพมากกว่าตัวเองอยู่ด้วย
ภาพนี้จึงเป็นกำลังใจยิ่งใหญ่ให้ผู้พบเห็นบูชามีกำลังในใจกล้าขึ้น_เรืองขึ้น ในการเอาชนะปัญหาอุปสรรคอันยาก ว่าเราจะทำให้ได้เหมือนอย่างที่ลูกหนูทำ คือเข้าไปหาศัตรูผู้มีอานุภาพมากกว่าแล้ว นอกจากเขาไม่ทำอันตราย กลับหยิบยื่นรางวัลให้ โดยเฉพาะยิ่งมีแรงครูช่วยหนุนนำแล้ว กำลังใจทั้งนั้นก็ย่อมปรากฏขึ้นเต็มอัตรา พาให้เอาชนะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้โดยสวัสดีภาพ
ส่วนกรณีลูกโคกินนมราชสีห์ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องเดียวกับหนูกินนมแมว แต่หากพิจารณาให้แยบคายลงไปก็จะพบว่าหนูนั้นระดับชั้นมันยังต่ำกว่าราชสีห์โดยเปรียบเทียบ หมายความว่าราชสีห์เห็นหนูก็มองว่าเป็นของจิ๊บจ๊อยกินไม่อิ่มไม่สะปาก ต่างกับวัวหนุ่มเนื้อหวานคำโต ย่อมน่ากินกว่ามาก หนูจึงเป็นของคนระดับ - level สำหรับเสือราชสีห์
ในบางสถานการณ์ของชีวิตที่คนเราเป็นโคมีเนื้อหนั่น ซึ่งอาจหมายถึงว่าได้ทำการค้ามีฐานะเป็นคุณหลวงเป็นพระยาเข้าแล้ว ไปเจอราชสีห์ชั้นสมเด็จชั้นนางพญาจะขย้ำเอาเมืองเอากิจการ เกมส์ก็กลับพลิกด้วยที่ว่าหวานหวานจะโดนเขากิน กลับได้กินน้ำนม_สสารแห่งชีวิตเป็นของแถมจากเขาอีกเสียยังงั้น รักษาชีวิต รักษาทรัพย์สินกิจการเอาไว้ได้ยังไม่พอ ยังได้บำเหน็จเป็นน้ำนมเพิ่มมา มองให้ดีแล้วชนะถึงสามเด้ง!
ส่วนในกรณีของวัวหนุ่มเสพนาง ม้าหนุ่มเสพนางนั้นไซร้ก็ไม่ต่างกัน หากแต่ผู้พกผ้ายันต์นับถือบูชา (ซึ่งโดยมากจะเป็นชายนั้น) ย่อมมีลักษณะสัณฐานเพศพรรณวรรณะแตกต่างกันไป
หากผู้ใดนิยามตัวเองเป็นดังโคถึก_ก็คือเป็นคนทำไร่ไถนา รูปชั่วตัวล่ำ มีแต่กำลังวังชาโดนเขาตราหน้าว่าไม่คู่ควร ด้วยตนเองเป็นชายขี้ริ้ว
ชาติกำเนิดก็ต้อยต่ำ ติดที่สมองปัญญาค่อนจะทึมทึบอีกต่างหาก ครูบาท่านก็ย่อมให้กำลังใจว่า ด้วยอิทธิคุณใดใดที่ท่านมีท่านขอสนับสนุนคนซื่อคนขยันให้ได้สมรักสมรสกับแม่หญิงงาม ขอให้เธอมองข้ามความอัปลักษณ์ภายนอก ไปมองเห็นอัตลักษณ์เนื้อในแห่งความขยันมั่นคง ให้ตกลงยอมที่จะรับรักหนุ่มวัวถึก ปลงใจร่วมสร้างครอบครัวกันได้ดังนี้
ข้างฝ่ายม้าเสพนางนั้น หากเอาวัฒนธรรมพื้นฐานเข้าจับ ม้าก็คือเป็นตัวแทนของชายหนุ่มที่มีความสะโอดสะองสวยงามมากกว่าวัว
พูดคร่าวๆก็คืออาจจะเป็นอีกฐานันดรหนึ่งในระบบศักดินาดั้งเดิมที่ถ้าวัวถูกนิยามว่าหมายถึง those who work - คนทำงาน, ไพร่ติดที่ดิน ม้าก็ย่อมเป็นฐานันดรนอกกรอบที่เรียกกันว่ากระฎุมพี - Bourgeoisie ซึ่งก็พอกันในแง่ซึ่งไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง แต่ว่ามีความสามารถเฉพาะตนในวิทยาการต่างๆ มีความอิสระเสรีท่องไปไหนมาไหนได้ทั่วเหมือนอย่างม้า แต่ว่าไม่สู้คนระดับพญาเขาคำ ซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งที่นา แรงงานและแหล่งน้ำ
การที่อี่นายหรือแม่หญิงจะเอาผัวสักคน ม้ากระฎุมพีย่อมไม่เป็นที่สบสมอารมณ์ปองของบรรดาสมาชิกในครอบครัวเพราะถูกมองว่าเป็นผู้ที่หลักลอย หากแม้ว่ามีสตางค์หาได้จากวิทยาการเฉพาะแห่งตนก็มิได้เป็นหลักฐานมั่นคงอย่างพวกนายทุนใหญ่หรือท้าวพญามหากษัตริย์ที่สามารถฝากชีวิตทั้งครอบครัวไว้ได้จนวันตายดับ
จริงอยู่ที่ว่าอี่นายย่อมจะพึงพอใจในรูปลักษณ์อันส่งเสริมกามกิริยาของม้าหนุ่มผู้เพรียวงามมากกว่าบ่าววัว และหลายคราวอาจปล่อยใจให้ถลำลึกลงไปเพื่อเสพสมในเสน่หาอันต้องห้ามนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ทว่าม่านประเพณีที่ตีตราม้าว่ายังเป็นสิ่งต่ำชั้นทางสังคมยิ่งกว่า กลับเปนเครื่องกีดกั้นไม่ให้ได้สมหวังอยู่เปนคู่ผัวตัวเมีย_โฮ
ครูบาท่านก็มองว่า หากแม้นว่าศิษย์ท่านจะเป็นที่ถูกตราหน้าว่าม้าว่าวัว และแม้ว่าม้าก็สู้อุตส่าห์รูปงามขึ้นมากว่าวัวมากแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสสร้างครอบครัวจนสำเร็จผล ท่านมีอิทธิคุณใดท่านก็จะช่วย ช่วยอย่างน้อยว่าให้มีกำลังใจพกรูปยันต์ภาพแห่งท่าน ติดตัวไปไหนมาไหนก็ให้รฤก ถึงความเป็นไปได้ที่จะได้สมปรารถนาเหมือนอย่างม้าได้เสพนาง
ซึ่งที่จริงแล้วในทางกลับกันก็เปนการช่วยปลดล็อคฝ่ายพวกนางให้ยอมรับการแหวกม่านประเพณียอมตกลงมีชีวิตคู่ตามควรแห่งอัตภาพ จะไปรอมุ่งได้หมายปองแต่ท้าวพญามหากษัตริย์ก็คงพอดีหมดเวลา ความสวยความสาวจะร่วงโรยไปตามวัฏฏะหาได้มีสิ่งใดเชื่อมใจให้สำเร็จผลปรารถนาทางโลกย์อย่างที่ได้ตั้งความหวังไว้ ถึงวันนั้นจะร้องแรกแหกบ่นก็สายไป ใครจะหาทางช่วยได้ ก็วันเวลาผ่านไปไม่รอท่า มัวแช่มช้าหาลาภยศ ตัวเองก็จะปลดชราหย่อนคล้อย ม้าหนุ่มหล่อก็กลายเป็นม้าแก่ หมดกำลังวังชาจะโขยกโยกวิ่ง!
มาถึงฐานันดรสุดท้ายอย่างท่านพญาเขาคำผู้ซึ่งกำเนิดมาแต่วงวานบริสุทธิ์ชั้นสูง บิดาท่านเป็นกษัตริย์มีชื่อ แว่นแคว้นก็ไพบูลย์ผาสุกร่มเย็นดี ชั่วแต่ว่าท่านหามีบุตรธิดามาสืบสายราชสมบัติไม่ จึงได้กระทำพิธีบวงสรวงใหญ่ขอพรเทพยดาฟ้าแถนให้ได้ลูกชายสักคนหนึ่ง ฟ้าก็เมตตาเห็นว่าอ้อนวอนนัก ตัวผู้ขอความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ก็อย่ากระนั้นเลย ให้ลูกมาคนหนึ่งหน้าตางดงามร่างกายทรวดทรงสูงโปร่งองอาจผิวพรรณเป็นสุพรรณชาติดั่งทองทา แต่ทว่า ดันมีเขา !
ท้าวบิดาก็ให้กังวลกลุ้มใจนัก จำจะต้องทำมงกุฎพิเศษครอบเขาให้ลูกใส่ไปไหนมาไหนเพื่อปิดบัง พอโตเป็นหนุ่มถึงที่ไปมีแฟน พอจะเข้าบทอัศจรรย์ต้องเปลืองผ้าถอดมงกุฎ คู่นอนก็ผวาตกใจว่าคนอะไรมีเขาอย่างกับปีศาจ ก็ให้บังเกิดความวินาศอดสู ชี้ให้เห็นว่าถึงเป็นผู้มีเชื้อสายดีมีสมบัติมากมีฐานันดรสูงก็มีอุปสรรคไม่สำเร็จในรสรักได้อยู่ดี ลูกศิษย์ครูบาระดับชั้นนี้มีเยอะแยะไป คือมีดีทุกอย่าง แต่อาจเป็นผู้มีตำหนิบางอย่างที่ขัดขวางความสมหวังเอาไว้
เมื่อเขาเหล่านั้นได้เห็นรูปพญาเขาคำท่านควงสนมมากมี ก็ย่อมมีแรงใจฮึดสู้ขึ้นมาบ้างเพราะตามนิทานท่านเขาได้คู่แท้ที่เทวดาสาปไว้มาปลดเขาให้ พอไร้เขาเข้าสตรีอื่นๆก็พิศวาสเข้ามารุมหา บ่งนิยามความหมายรักแท้นั้นไม่มีอุปสรรคในเรื่องของความประหลาดหน้าตา และพอผ่านด่านนี้มาได้แล้วกลายเป็นเหมือนคนทั่วไปธรรมดากลับประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้คนมารักมาก- ปริศนาธรรมๆ
งานศิลปะอย่างว่า rustic ของผ้ายันต์มหาเมตตาชุดนี้ (ขอบคุณภาพสวยจาก ท่าพระจันทร์ดอทคอม) มองผิวเผินอาจมีความ Lustic- เต็มไปด้วยไฟราคะแห่งอารมณ์ แต่ถ้าว่าในสังคมเกษตรกรรมอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานกันอยู่ ก็ไม่ใช่ด้วยแรงตัณหาราคะดอกหรือที่เป็นเครื่องผลักดันการกำเนิดของสมาชิกส่วนเพิ่มให้กงล้อของสังคมเกษตรอุตสาหกรรมสามารถหมุนเคลื่อนต่อไปได้
คนเรานั้นถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นลึกซึ้งถึงกลไกการเคลื่อนไหวชนิดนี้ จะไม่ต้องพึ่งพาหาครูบาท่านก็ย่อมได้ เพียงสร้างงานศิลปะบางอย่างเป็นตัวแทนของถ้อยคำที่ราบเรียบแต่สะท้านใจ ชมงานศิลปะนั้นแล้วเกิดความสะเทือนเลื่อนลั่นสั่นไหว ดูทีไรมีกำลังใจ เรืองรองขึ้นมาเสริมทัพความกล้าในดวงจิตให้มีแรงบุกตะลุยไปหยิบคว้าเอาของยากที่ปรารถนา แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้และแวดล้อมไปด้วยภยันตรายนานาแต่ด้วยใจที่แกร่งกล้าและแผนการที่แยบคายก็ต้องสำเร็จสมหวังเข้าสักทางหนึ่ง
วันนี้แวะดูผลงาน ม้าเสพนาง ในมุมมองของเดเมียน ณัฐธวัช ซึ่งตีความและรื้อสร้างจากผ้ายันต์ล้านนาใหม่โดยใช้สัญลักษณ์ของม้ากับหญิงสาว เพื่อสื่อสารถึงพลังแห่งความรัก ความดิบ และความบริสุทธิ์ รวมถึงท้าทายกรอบศีลธรรมเชิงอนุรักษ์ในเวลาเดียวกัน โดยมีเทคนิคใช้ทองคำเปลวและดินสอพอง_บร้ะ!
ถามว่า ดินสอพองนี่คืออย่างไร? แกว่า เปรียบเสมือนผิวหนังที่เปลือยเปล่าและเปราะบางของภาพ หากแต่ซื่อสัตย์เหมือนความรักและความโหยหา โดยพื้นผิวที่ไม่สมบูรณ์แบบสะท้อนถึงความไม่จีรังของชีวิตและความรัก ส่วนทองคำเปลวในศิลปะไทยโบราณถือเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวัสดุทางปรัชญา
“ผมนำมันมาวางไว้บนตัวม้าเพื่อเชื้อเชิญให้ผู้ชมทบทวนถึงกรอบคิดทางศีลธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมร่วมสมัยของบ้านเรา”
ต่อคำถามถึงคำว่า Rustic VS Lustic เดเมียนว่า นี่ไม่ใช่แค่ภาพของความปรารถนาหรือตัณหาแต่มันคือบทกวี
“ความรักในภาพของผมไม่ใช่การครอบครองแต่เป็นการหลอมรวมของสองวิญญาณที่เท่าเทียมกันอย่างลึกซึ้ง” - เอ้าๆๆ อย่างนี้ก็เข้าท่าเพราะว่า จะม้าเสพนาง หรือ ว่านางเสพม้า บรรยากาศมันจะต้องเท่าเทียมกันได้หมดแล้วเรื่องพรรค์นี้ในยุคสมัยนี้!!
ขอบคุณภาพสวยจาก IG: mutestudio56