เทคติคลุกเคล้าเขย่ายุคกวนโอ๊ย ฉากที่ 2

07 พ.ย. 2568 | 23:30 น.

เทคติคลุกเคล้าเขย่ายุคกวนโอ๊ย ฉากที่ 2 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4147

KEY

POINTS

  • นำเสนอตัวอย่างบทสนทนาที่สะท้อนพฤติกรรม "กวนโอ๊ย" หรือการตอบคำถามแบบยียวน ผ่านเรื่องเล่าของนักข่าวที่สัมภาษณ์ชาวนาและผู้เฒ่า
  • ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรม "กวนโอ๊ย" หากไร้มารยาทจะทำให้ขาดเสน่ห์ และอาจนำไปสู่กระแสต่อต้านทางสังคมหรือ "ทัวร์ลง" ได้
  • วิเคราะห์การใช้ถ้อยคำและสำนวนในยุคปัจจุบันที่อาจถูกมองว่าน่ารำคาญ เช่น การใช้ศัพท์แสงทางธุรกิจที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียง

Title การแสดงลิเก เขาจะออกแขกแดง Heading เปิดมุกปลุกหมอง มาแรง จะเดินหน้ากวนโอ๊ย

ขอบอกกล่าวเอาไว้ก่อนว่า นักข่าวก็ถามเอาแต่ใจตัว ชาวนาก็ตอบกวนโอ๊ยแบบทีเล่นทีจริง ถ้าใจไม่นิ่งคงมีหวัง นักข่าวจอมโวยตั้งใจที่จะสัมภาษณ์การเลี้ยงแกะ เขายืนอยู่ริมทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ซึ่งมีแกะดำและแกะขาวจำนวนมากมาย นักข่าวเริ่มต้นเปิดใจใฝ่รู้ถามว่า “แกะกินหญ้าวันละเท่าไหร่” ชาวนาถามว่า “คุณเล็งแกะดำหรือว่าแกะขาว” นักข่าวบอกว่า “โอ.เค. เราคุยแกะดำก่อนก็ได้” 

ชาวนาเล่าว่า “แกะดำกินหญ้าวันละสิบปอนด์” นักข่าวแซะว่า “แล้วแกะขาวล่ะ?” ชาวนาแจงว่า “สิบปอนด์เท่ากัน” นักข่าวซักไซ้ไล่เลียงเพิ่มเติมอีกว่า “เราได้ขนแกะเดือนละเท่าไหร่?” ชาวนาถามว่า “สีดำหรือว่าสีขาว?” นักข่าวชี้ว่า “ไอ้สีดำนั่นแหละ”

ชาวนาบอกว่า “แปดปอนด์” นักข่าวไล่เบี้ยว่า “แล้วสีขาวล่ะ?” ชาวนาบอกว่า “แปดปอนด์เหมือนกัน”

นักข่าวยังขยันถามอีกว่า “แกะดำ กับ แกะขาว ตัวไหนเป็นของคุณ” ชาวนาก็บอกว่า “ตัวดำเป็นของผม”

นักข่าวถามต่อว่า “แล้วตัวขาวล่ะ?” ชาวนาก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ตัวขาวก็เป็นของผม” นักข่าวหงุดหงิดที่ชาวนาตอบ แยกประเด็นไป โยกประเด็นมา จึงตวาดชาวนาว่า “ทำไมคุณถึงไม่อธิบายรวม ทั้ง สีขาว กับ สีดำ พร้อมกันไปเลย จะได้ไม่ต้องวกไปวนมาให้มันเสียเวลาและน่ารำคาญ” ชาวนายิ้มแป้นแล้วถามแซวนักข่าวว่า ถ้าคุณนั่งอยู่กับผู้หญิงสองคนในร้านกาแฟ ผมถามรวมว่าทั้งสองคนนี่เมียคุณใช่ไหม คุณจะมึนไหม” (ฮา)

“มารยาท” คือ “เกราะกำบังสันดานตัวตน” สังเกต “อาการที่แสดงออก” อย่างเช่น น้ำเสียงนอบน้อม หรือ สำเนียงขุ่นข้น สายตายินดี หรือ ดุดันรังเกียจ ใบหน้ายิ้มแย้ม หรือ บอกบุญไม่รับ คำพูดสุภาพ หรือ วาจาหยาบคาย และ ท่าทางอ่อนน้อม หรือ ผีสางวางก้าม

ใครที่ไม่ให้ความสำคัญกับกริยาดังกล่าว เราสามารถจะลงความเห็นเป็นข้อ สันนิษฐาน คือ คาดคะเน เผื่อเอาไว้ก่อน ถ้าสนิทสนมกันมานาน ก็หาโอกาสบอกเล่าให้เขาเอาไปคิดเชิงลึกว่า “มารยาท” คือ “เสน่ห์” ไม่ละวางลีลาเกเรแบบ ทะลึ่งไม่เลือก เผือกไม่ยั้ง สังคมรำคาญที่สุด

นักข่าววัยรุ่นรีบแทรกเข้าไปประชิดตัว “ผู้เฒ่า” อายุ 117 ปี  หน้าตาและร่างกายของ “ท่านผู้มีอายุยืน!” ยังคงหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว เขาจึงถามเพื่อความสดชื่นโดยไม่ลังเลว่า “อะไรทำให้คุณดูดีและอายุยืน!” 
ชายหนุ่มรุ่นทวดตอบว่า “ง่ายมาก ไอ้หนุ่ม ข้าไม่เคยเถียงกับคนโง่” (ฮา)

นักข่าววัยรุ่นยิ้มทะเล้นถามข้ามรุ่นแบบสัพยอกว่า “ฮ่าๆ! อายุปูนนี้ จะรู้ได้ไงว่าใครโง่ใครฉลาด!” บุคคลสำคัญระดับ 117 ก็แซวเอาคืนว่า “เอ็งก็ฉลาดอยู่แล้ว ทำไมไม่ตีพิมพ์ลงข่าวไปเลย ว่าแต่ว่าถ้าเอ็งฉลาดอยู่แล้ว จะแวะมาถามข้าทำไม” (ฮา)

กรณีนี้สงสัยหมอคลีนิกคงจะไม่รับเย็บ เนื่องจาก บาดแผลที่โดนกรีดด้วย วาทะอันเป็นผลกรรม มันฝังลึกอยู่ในกระดูก แพทย์จึงปล่อยให้หายเองสองขั้นตอน คือ ยถากรรม กับ ธรรมชาติ นักข่าววัยไฟ เขาจะได้ป้ายเตือนแปะไว้ในหัวอกว่า อย่ารีบผลีผลามกวนโอ๊ย ไม่ว่าจะเป็น วันหน้า วันหลัง และ วันหวยออก (ฮา)

กระบวนท่า “กวนโอ๊ย” ที่เราไม่มี “บังเกอร์” คือ “ไร้มารยาท” เราจะปราศจาก “เสน่ห์” กระแสทัวร์ลงจะพุ่งตรงมา “บังเกิด” อยู่ในพื้นที่ตะเข็บชายแดน ชายแดนที่ว่านี้ คือ เฟซบุ๊ก ติ๊กต๊อก ไลน์ ทีวีดิจิตอล 

ปรารภมาถึงตรงนี้ก็อดใจไม่ได้ ต้องเอามุกที่ซ่อนเร้นลวดลายมาให้อ่านแก้ง่วงกันหน่อย

นักข่าวเดินทางไป “รัฐเขม่น” เพื่อไปเก็บตกข่าวในถิ่นปกปิด “โซนเผลอ!” ซึ่งเป็นพื้นที่ “หมาฮุบ!” ระหว่างทางไปยัง “จุดตุย” ก้าวแรกที่ทำให้นักข่าวชะงักอย่างนึกไม่ถึง คือ “สตรีเดินตามหลังผู้ชายสิบก้าว”

นักข่าวโกรธเคืองจัดจึงถามล่ามว่า “ทำไมผู้หญิงถึงเดินตามหลังผู้ชายสิบก้าว!” ล่ามก็ตอบว่า “ผู้หญิงถูกมองว่าพวกเธอเป็นพลเมืองชั้นสอง” นักข่าวขัดใจจนไม่อยากจะทำข่าว จึงเผ่นออกจาก “รัฐเขม่น” 

หนึ่งปีผ่านมา นักข่าวตั้งท่าด้อมๆ มองๆ มาเก็บ “ข่าวเท็จ” อีกครั้ง คราวนี้แปลกตา “ผู้หญิงเดินนำหน้าผู้ชายไป 10 ก้าว” นักข่าวถามล่ามด้วยความแปลกใจว่า มีเหตุอันใดทำไมรูปแบบถึงได้ผกผันหันไปเดินตามรอยวัฒนธรรม ออกจะ พิลึก

ล่ามหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบว่า “อิสตรี คือ ผู้หญิงนักค้น เธอเหมานึกไม่ถึง คือ การใช้วลีทางธุรกิจที่ทำให้ กระแสภาษา ก่อความน่ารำคาญในการสื่อไม่ได้ความมากที่สุด ปัญหานี้แพร่สะพัดระบาดอยู่ในแวดวงของภาษาศาสตร์ ผมอ่านแล้วก็พลอยรำคาญไปด้วย รำคาญที่ว่าไม่ได้เกี่ยวกับการนำร่องค้นหาระเบิด” (ฮา)

ในห้วงความคิดเดียวกันนี้ อาการ กวนโอ๊ย ที่เอาจริงเอาจังขึงขังอย่าหมายถึงรำคาญในการใช้ถ้อยคำสำนวน ผมรำคาญที่เขาออกจะรำคาญจนเกินพอดี คนไทยสบายใจได้ ปรากฏการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นใน “โซนยุโรป!” 

เขาเริ่มขุดหลุมฝัง หรือ กำลังรวมหัวกันถล่ม การใช้ถ้อยคำที่ผมรู้สึกว่า ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายกันตรงไหน อย่างไรก็ตาม คาดว่าไม่ช้าไม่นาน มันน่าจะเข้ามางอกเงยถิ่นไทย อย่างเช่น ถ้อยคำที่ว่า “ฉันจะยื่นมือออกไปเพื่อขอบคุณสำหรับชิ้นงานที่ยอดเยี่ยมนี้!” 

มีแววตั้งท่าว่าจะโดนบูลลี่ในทำนองที่ว่า คุณอยู่ในสำนักงานแล้วจะเอามือไหนไปยื่น ถึงแม้ว่ามือจะว่างแล้วจะเอาเวลาไหนไปบริการใคร “ความคิดนี้ระบาดเข้ามาเมื่อไหร่ ผมจะหาของสังเวยไปถวาย ท่านพระแม่นาก ขอให้ท่านช่วยยื่นมือยื่นแขนออกมาช่วยเป็นขวัญตา มาลองดูกันสิว่า ถ้อยคำนี้มันจะ เชย หรือ ชมเชย

โชคดีหน่อยที่กระทู้ของถ้อยคำที่ว่านี้ ยังมีเจ้าของกระทู้แลเห็น ท่านจึงสามารถเอื้อมมือออกไป เชื่อมต่อ และ มีส่วนร่วม แม้ว่าคนไม่รู้เรื่องจะใช้คำเหล่านี้เหมือนคำพ้องความหมาย แต่จริงๆ แล้วคำเหล่านี้ฟังดูเป็น บรรยากาศที่อบอุ่น จะลบทิ้งถ้อยคำนี้ทั้งทีอย่าลืมทบทวนให้มันดีๆ อย่าลืมว่า สามี กับ ภรรยา จะยื่นมือช่วยกันเป็นอาจิณ จู่ๆ จะเอามือไปฝังดิน มือคนเขายังไม่สิ้น ไอ้ที่จะสิ้น คาดว่า มันน่าจะเป็น ความคิด มากกว่า!