GEN Z เตือนว่า “อย่าเยอะ!” ฉากที่ 8

26 ก.ย. 2568 | 23:00 น.

GEN Z เตือนว่า “อย่าเยอะ!” ฉากที่ 8 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4135 หน้า 6

KEY

POINTS

  • บทความรวบรวมมุกตลกและเรื่องเล่าต่างๆ เพื่อสะท้อนความหมายและผลกระทบของคำว่า “อย่าเยอะ”
  • นำเสนอตัวอย่างทั้งในแง่ของการ “คิดเยอะ” เกินไปจนเสียโอกาส และการคิดน้อยเกินไปจนอาจเกิดอันตราย
  • ชี้ให้เห็นว่าการกระทำที่ไม่เหมาะสมเพียงครั้งเดียวอาจถูกมองว่า “เยอะไป” และสามารถทำลายภาพลักษณ์ที่ดีได้ ดังเช่นเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่

รอบนี้ต้องขอปิดฉากให้อยากรู้ด้วยการเลือกเอา “ศัพท์มกหลง” ให้งงกันเล่น ถ้าผมเกิดเป็น มหาเสนาบดี ในสมัย พระเจ้าเหา จะให้นายทหารไปขอเชิญให้บุคคลต้นคิด มุกนี้ มาคุยกันหน่อย จะถามความในใจว่าเวลาไปเรียนคำภีร์ในวัดเส้าหลิน จะขยันเสาะหารากศัพท์เอาจริงเอาจังแบบเดียวกับความหมายของคำว่า Chu, Bu, Hu, Su และ Fu หรือเปล่า

ครอบครัวชาวจีน 5 คน ชื่อ Chu, Bu, Hu, Su และ Fu สนใจกันว่าจะอพยพไป USA มันมีปัญหาอยู่ตรงที่ว่า พวกเขาจะขอวีซ่าแต่ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอเมริกัน Chu กลายเป็น Chuck, Bu กลายเป็น Buck, Hu กลายเป็น Huck สองคน Su และ Fu จึงเปลี่ยนใจไม่ไปดีกว่า!

เพราะว่า Chuck แปลว่า เชย, Buck แปลว่า เจ้าชู้, Huck แปลว่า เขวี้ยงทิ้ง, ปรากฏว่าสองคนเขาคิดเยอะว่า มันไม่เป็นสิริมงคล เนื่องจาก Suck แปลว่า ดูด และ Fuck แปลว่า สามัคคีเพศ (ฮา)

บิล และ โจ เป็นคนขับรถบรรทุกทางไกลสองคน เขาขับรถบรรทุกขนาด 44 ตัน แล่นอยู่บนถนนเล็กๆ ในยุโรป เมื่อ บิล ขับเลี้ยวโผล่มาถึงสะพานแห่งหนึ่ง ก็อุทานตามความเคยชินว่า “โอ้โห ดูป้ายเขาสิ เขียนเอา ไว้ว่า น้ำหนักสูงสุด 20 ตัน” โจ อาสาตรวจสอบความสะดวกว่า “เดี๋ยวฉันจะลงไปดู” เพียงหนึ่งนาที โจก็เผ่นกลับมาฉับไว เขารีบบอกกับ บิล ว่า “เราไปกันเถอะ ฉันตรวจดูแล้ว ไม่มีตำรวจสักคน” (ฮา) 

สองรายนี้ระแวงแต่ตำรวจ ไหนๆ ก็ทักกันดีนักว่า “อย่าเยอะ!” จึงไม่คิดอะไรให้มันเยอะ อุตส่าห์จะหนีค่าปรับเยอะ แต่ไม่ระวังว่าสะพานมันทานน้ำหนักเยอะไม่ไหวเดี๋ยวมันก็จะทรุด คราวต่อไปดูให้มากกว่าหนึ่งเยอะ แต่ก็อย่าเยอะจนต้องเข้าโรงพยาบาล มันจะเข้าข่าย “หนีเยอะไปปะเยอะ!” มันก็ไม่คุ้มเพราะใช้สมองน้อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานมาก นานเหลือเกิน นานจนลืมชื่อไปแล้ว จึงขอเรียกท่านว่า “อาจารย์ใหญ่” ได้ครองโรงเรียนเล็กๆ เช้าดื่มเป๊ก เย็นดื่มเป๊ก ครึ้มอกครึ้มใจไปเรื่อยๆ ท่านทำหน้าที่เท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ เพราะท่านไม่เคยเปิดให้ใครดูว่ากำลังเปิดหน้าที่เท่าไหร่ (ฮา) 

มีครั้งเดียวที่ได้เห็นหน้า มันเป็นหน้าที่ไม่มีหมายเลข แต่นักเรียนเขาตาไวจำได้ชัดเจน เพราะหน้าที่เปิดในวันพิเศษนั้นมันเป็น “วันหน้าแข้ง” เนื่องจากครูประจำวิชาลาป่วยไม่ได้มาสอน นักเรียนทั้งห้องถือโอกาสลาพักร้อนนอนกันทั้งห้อง ท่านแต่งชุดลูกเสือ กางเกงขาสั้น ตั้งแต่เรียนกันมา ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าเสืออะไร เพิ่งจะถึงบางอ้อเหมือนกันว่าท่านเป็น “เสือเท้าหน้า” (ฮา) เนื่องจาก ท่านยกเท้าโชว์รองเท้าแวววับเดินเข้าไปในห้องเรียน เอาเท้าคลึงเด็กนักเรียนที่กำลังนอนหลับแล้วก็ปลุกให้ลุกตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือ

ในวันถัดมา ท่านก็พูดปรับความเข้าใจว่า “เมื่อวานที่ครูไปปลุกเพราะครูเป็นห่วงเธอนะ ไม่อยากให้ใครสอบตก ผู้บริหารโรงเรียนประจำจังหวัดเขาอยากจะให้ครูไปบริหารสำนักงานส่วนกลาง ครูบอกเขาไปว่า ครูจะอยู่ที่นี่เพราะครูรักโรงเรียนนี้” 

ไม่ช้าไม่นานทุกคนก็พยักหน้าหงึกหงัก ประจักษ์ชัดว่า ท่านรักโรงเรียนนี้ เพราะท่านก็รู้แกวว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ จะมีการจัดระบบกันหลายด้าน หนึ่งในนั้นเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งจาก “อาจารย์ใหญ่” เปลี่ยนเป็น “ผู้อำนวยการ” เงินเดือนจะผลิบานกว่าเดิม (ฮา) 

อุบอิบยังกะจะลดค่าเงินบาทผู้ปกครองหลายคน ส่งจดหมายตักเตือนท่าน ได้ข่าวว่าท่านหยิบจดหมายออกจากซอง เอามากางมองด้วยความแปลกใจ ในแผ่นกระดาษจดหมายไม่มีเนื้อความอะไรแม้แต่วรรคเดียว ยกเว้น มีถ้อยคำสำคัญเพียงคำเดียว คำที่น่าสนใจคำนั้นเขาเขียนมาระบายสั้นจุ๊ดจู๋ว่า “โง่!” ท่านขมวดคิ้วแล้วพูดแก้เขินให้ลูกน้องในห้องทำงานฟัง เหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ว่า “เขาเซ็นชื่อในจดหมายแล้ว แต่ในจดหมายไม่มีเนื้อหาร้องเรียนอะไร!” (คิๆ)

อ่านแล้วก็ไม่ต้องขอนัดพบ เพราะมันเป็นเรื่องเก่าเพิ่งเอามาเล่าใหม่ จุดหมายที่เอามากระจายข่าว ก็ต้องการที่จะทบทวนว่า ซีนอาจารย์ใหญ่เอาเท้าไปคลึงให้เด็กตื่นมันเป็นลีลาที่ไม่น่ารัก คนเราทำดีมาแทบตาย แต่ถ้าเผลอก็เสียราศรีได้ ภาพลักษณ์ที่สังคมบันทึกไว้ คือ เยอะไป! เสียดายที่ขัดไม่ทัน สมัยนั้นไม่มีใครเตือนว่า อย่าเยอะ!

เพิ่งจะอ่านมุกแดนตะวันไม่ตกดินไปหมาดๆ ว่า มุกตลกในเมืองอังกฤษทำไมถึงไม่ซี๊ดซ๊าด ฉับพลันก็เจอมุกเด็ดขาดราวกับเทวดาเกื้อหนุน สุภาพบุรุษแต่งตัวดีผู้หนึ่งเขาครุ่นคิด ขณะมองชายชราตกปลาในแอ่งน้ำหน้าผับ เห็นแล้วก็ขัดใจไร้อารมณ์ แอบนึกอยู่เงียบๆ ว่า “ไอ้โง่แก่คนนี้มันน่าสงสาร” เขาจึงเดินไปเชิญชายชราให้เข้ามาดื่มร่วมวงกับเพื่อนฝูงที่กำลังจิบวิสกี้กันอยู่ สุภาพบุรุษผู้นั้นครุ่นคิดจะเอาใจชายชราให้มีชีวิตชีวา จึงเอ่ยถามว่า “วันนี้คุณตกปลาได้กี่ตัว” ชายชราตอบแบบหนังบู๊ว่า “คุณคือปลาลำดับที่แปด” (ฮา)

กะลาสีเรือแล่นเข้าเมืองเล็กๆ ห้องพักในโรงแรมทุกห้องถูกจองไปหมด “เราต้องหาห้องพักที่ไหนสักแห่ง ผมไม่สนใจว่าจะอยู่ที่ไหน แค่เตียงก็พอ” บริกรบอกว่า “มีห้องเตียงคู่ที่มีคนพักอยู่หนึ่งคนเป็นทหารอากาศ เขาอาจจะยินดี ถ้าช่วยหารค่าใช้จ่ายให้ บอกตามตรงนะ เขากรนเสียงดังมาก จนคนในห้องติดกันเคยบ่นกันมาแล้ว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มค่าสำหรับคุณหรือเปล่า” กะลาสี บอกว่า “ไม่มีปัญหา” 

เช้าวันรุ่งขึ้น กะลาสีลงมาทานอาหารเช้าด้วยดวงตาสดใส  ผู้จัดการถามว่า “นอนหลับสบายดีไหม” กะลาสี ยิ้มแก้มปริแล้วบอกว่า “ไม่เคยดีไปกว่านี้อีกแล้ว” ผู้จัดการรู้สึกประทับใจ “ไม่มีปัญหาเรื่อง คนอื่นกรนเหรอ” กะลาสียืนยันว่า “ไม่ครับ ผมทำให้เขาเงียบได้ในพริบตา ตอนที่ฉันเข้ามาในห้องเขานอนกรนอยู่บนเตียง ผมเดินไปจูบที่แก้มเขาหนึ่งฟ่อดแล้วพูดว่า ราตรีสวัสดิ์นะที่รัก เขานั่งมองผมทั้งคืน” ใครเยอะกว่าใครไขความกันเอาเอง (ฮา)