GEN Z เตือนว่า “อย่าเยอะ!” ฉากที่ 4

29 ส.ค. 2568 | 23:30 น.

GEN Z เตือนว่า “อย่าเยอะ!” ฉากที่ 4 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย... ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4127

KEY

POINTS

  • บทความเตือนสติว่าการ "เยอะ" หรือการใช้อำนาจก้าวก่ายผู้อื่นเกินขอบเขต อาจนำไปสู่ผลเสียหรือการต่อต้านได้
  • ผู้เขียนยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวสมัยเรียนที่ท้าทายครูซึ่งเข้มงวดเกินเหตุ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีโอกาส คนจะลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเอง
  • สรุปว่าหากไม่อยากเดือดร้อน ไม่ควรวางอำนาจแกล้งใครให้เจ็บช้ำ และถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าใจหลักการ "อย่าเยอะ" ก็ควรเป็นฝ่ายถอยออกมาเอง

ใครปักใจเชื่อว่า “ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ” ระวัง “กูรู” เขาจะขัดคอว่า “อ่านหนังสือผิดเล่มหรือเปล่า!”

รศ.สุขุม นวลสกุล เคยเล่าให้ฟังว่า “วันก่อนไปบรรยายสองวันที่ต่างจังหวัด วันแรกบรรยายเสร็จก็แวะเข้าไปในร้านหนังสือ กะว่าจะซื้อ นวลนาง เอาไปดูหาความรู้ใส่ตัว ยังไม่ทันจะหยิบก็ต้องรีบปรับตัว เพราะว่าเจ้าของร้านอุตส่าห์จำได้ มือก็ไหว้ ปากก็ไว ทักทายตัดอนาคตฉับพลันว่า จารย์สุขุม มาทำไรที่นี่ครับ เราก็ตอบไปตามฟอร์มว่า เขาเชิญมาบรรยายครับ

ว่าแล้วก็ตัดสินใจซื้อ IMAGE แก้เขิน กลับถึงห้องพักก็ไม่ได้อ่าน เพราะว่าภาพหน้าปกของ นวลนาง มันครึกครื้นกว่า IMAGE โชคร้ายกลายเป็นบุ้คผิดประเภทซะงั้น!” (ฮา)

เล่าเรื่องนี้คิดถึงสำนวนที่ว่า “หนังสือหนึ่งเล่มก็เหมือนคนหนึ่งคน!” พ่อคิดอุบายได้ว่า เราจะต้องกล่อมให้ลูกอ่านหนังสือด้วยการพาลูกไปเดินเล่นในที่ต่างๆ  เดินผ่านใครต่อใครไปแต่ละครั้ง ก็จะชวนลูกให้จับผิดจับถูกลูกจะได้ตื่นเต้น อย่างเช่น ในช่วงที่กำลังเดินเล่น ลูกมักจะเอาโทรศัพท์เสียบไว้ตรงหลังเอว กำลังเดินคุยเผลอๆ

พ่อทำเป็นเดินเบียดด้านข้างแล้วดึงโทรศัพท์เอามาเก็บไว้ ลูกเดินไปสักพักก็หยุดตั้งหลักเพื่อจะถ่ายภาพ เอามือลูบเอวก็ตกใจว่า โทรศัพท์หาย พ่อยิ้มแล้วก็ล้วงจากกระเป๋ากางเกงส่งคืนให้ ลูกหงุดหงิดก็ขวิดพ่อตามระเบียบว่า “คนที่ไว้ใจไม่ได้ก็คือพ่อเนี่ยแหละ!”  

พ่อยิ้มแล้วก็เล่าบทคัดย่อให้ลูกฟังว่า “เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่พ่อไปดูงานกับเวียดนาม ไกด์ชาวเวียดนามเขาเตือนทุกคนก่อนที่จะลงจากรถว่า อะไรที่อยู่ข้างหน้ามันจะเป็นของเรา! อะไรที่อยู่ข้างหลังมันจะเป็นของเขา! ใครเอามือถือเสียบไว้ข้างหลัง เดินเพลินไม่ระวังให้ดี โทรศัพท์มันจะย้ายพรรคไปอยู่กับโจรทันที!” (ฮา) ลูกทะเล้นตามรอยพ่อในบัดดลว่า  “ไปเที่ยวเวียดนามคราวหน้า ให้แม่กับผมเดินอยู่ข้างหลังบ้างก็ได้ แม่จะได้เป็นของเขา ผมจะได้เขาเป็นพ่อเลี้ยง พ่อจะได้โบยบินเป็นอิสระ!” (ฮา) 

                          GEN Z เตือนว่า “อย่าเยอะ!” ฉากที่ 4

หลังจากพ่อกับลูกแวะทานข้าวกันจนอิ่ม ทั้งสองเดินยิ้มกริ่มเข้าไปนั่งในรถ พ่อทำหน้าที่เป็นสารถี ลูกก็ถามพ่อว่า “พ่อยังขำค้างอยู่อีกเหรอ!” พ่อหัวเราะหึๆ แล้วก็บอกลูกว่า “เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกไปเล่นบอลกับเพื่อน แม่เขามีจิตอาสานวดศรีษะพร้อมกับคลึงขมับให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

ผ่านไปหลายนาทีแม่เขาถามพ่อว่า ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน เคยมีใครนวดให้คุณหายปวดหัวแบบนี้บ้างไหมอ่ะ!  พ่อซึ้งในน้ำใจแม่ แต่พ่อก็อดแหย่แก้เหงาไม่ได้ว่า สุขภาพก่อนแต่งงาน ผมไม่เคยปวดหัวเลยนะคุณ เพิ่งจะปวดหลังแต่งงานเนี่ยแหละ!” (ฮา) 

ระหว่าง ภูมิปัญญาของมนุษย์! กับ บทสรุปแก่นสารในหนังสือ! เราไม่ควรสรุปว่า อะไรมันน่าสนใจมากกว่า และ มันน่ารำคาญจนเกินแกง ถ้าใคร เอาโบว์ดำมากลัดกับเสื้อสูท หรือ เอาโบว์ดำมาติดแปะกับหนังสือ เป็นไป ได้ว่า คนนั้นล่ะมั้งที่จะต้องรีบพาไปทำพิธีแก้เคล็ดใน วันฟู กับ วันลอย อย่าบอกนะว่า วันอะไรไม่รู้เรื่อง! (ฮา)

ครูหงวน พ่อผม ท่านคงไม่หวนคืนไปกล้ำกลืนกับความเยอะไม่เข้าเรื่องดังที่ได้เล่าไว้ตอนที่แล้ว ถ้าจะมีก็ไม่ใช่ใครอื่น ผมนี่แหละที่ยังคงมีเกร็ดเกี่ยวกับ คติพจน์ “อย่าเยอะ!” มาเล่าเติมอยู่ทุกระยะ เนื้อหามันสั้น แต่ทว่า อายุมันยืนยาว ขอแค่ให้สังคมให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกัน ระหว่าง คนจ่ายตังค์ และ คนรับเงิน 

ผมเองก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของครูบางคน เฮียกุล เรียนจบ  มศ. 5 ผมก็ก้าวเท้าเข้าไปเรียน  มศ. 1 ผมก็ลืมพกพา วงเวียน กับ ไม้โปร เช่นเดียวกับ เฮียกุล ผมแบมือให้ครูตี เพียงแต่ทุกครั้งที่ครูตีมือ ผมก็จะสะบัดฝ่ามือขึ้นลง ตามจังหวะคล้ายกับสปริงของโช้คอัพ จะได้ไม่เจ็บสาหัสโดยไม่จำเป็น

ครูบางคนคงลืมไปว่า “ครูจะตีให้ลูกศิษย์อาย” หรือว่า “จะตีให้ลูกศิษย์ตาย” เมื่อครูคนเดิมท่านเห็นว่า ผมไม่มีปฏิกริยาอื่นใด ทุกอย่างก็เริ่มคลายเข้าสู่ความสงบ ถึงกระนั้นก็ยังมีคนแปลกใจว่า ทำไมผมจึง วางเฉย อันที่จริงผมไม่ได้ วางเฉย ผมเป็นแค่ จ่าเฉย เท่านั้น

เรียนกันไป สอบกันมา ก็โผล่หน้าเข้ามาขึ้นแท่น มศ. 5 มีอยู่วันหนึ่งที่ผมยืนรอร้องเพลงชาติที่หน้าเสาธง ท่านเดินตรวจทุกแถวว่าใครไม่ตัดผมให้สั้นตามระเบียบ ท่านเดินมาเจอเพื่อนร่วมห้องที่ผมเองก็ไม่ได้สุงสิงกับเขามากนัก ครูท่านหนึ่งมีลีลาในทำนองวัน “ฉันไม่ธรรมดานะเธอ”

ครูท่านนั้นเดินรี่เข้ามาดึงเส้นผมรวบเข้าเป็นมัดแล้วดึงพร้อมกับถามว่า “หล่อมากนักรึไง” ผมคันปากอยากจะถามครูเหมือนกันว่า ที่นี่เป็น โรงเรียน หรือ เป็น เรือนจำ แต่ก็ยั้งใจเอาไว้ก่อน กลับมาถึงบ้านก็บอก ครูหงวน กับ ครูนอม คือ พ่อ กับ แม่ ขอแบบตรงไปตรงมาว่า “ผมตัดผมทรงทหารมานานปี นับจากนี้ไปสามเดือน ผมจะไว้ทรงผมให้มันยาวสมราคาจะได้ เห็นดี มากกว่า ดูดี” 

ผ่านไปสองเดือนเส้นผมก็ยาวสมปรารถนา ครูท่านนั้นเดินแวะเข้ามาจ้องหน้าผมแล้วพูดสั้นๆ ว่า “ผมหล่อนะเธอ” ผมไม่ได้รอคำชม ผมรอแอ็คชั่นที่ครูคนนี้ ที่เคยดึงผมตามใจชอบต่างหาก ผมรู้สึกผิดหวังที่ครูถอยกลับ ดูเหมือนครูจะฉุกใจได้ว่าอะไรคืออะไร จึงไม่แตะต้องผมแม้แต่นิดเดียว

ถ้าสงสัยว่าผมทำอย่างนั้นทำไม และ ทำไมผมเพิ่งจะมาทำอย่างนั้น คำตอบ คือ ผมทำอย่างนั้นเพื่อที่จะเพิ่มสิทธิอันพึงที่จะนำเรื่องไปร้องเรียนได้ และ ผมไม่ทำอย่างนี้เมื่อปีก่อนนั้น เนื่องจากวันก่อนนั้นตัวผมยังอยู่ในชั้น มศ. 4 คะแนนยังอยู้ในมือครู เมื่อขึ้นแท่น มศ. 5 คะแนนการสอบผมมันอยู่ในมือของกระทรวง ครูแกล้งผมลำบาก ผมไม่ได้อวดเก่ง ผมแค่จะฝากบอกว่า ถ้าไม่อยากซวย อย่าวางก้ามแกล้งใครให้เขาเจ็บช้ำ คือ อย่าเยอะ

จี.เค. เชสเตอร์ตัน คนรู้ไต๋ จึงกล้าพูดว่า “พระคัมภีร์บอกเราให้รักเพื่อนบ้านและศัตรูของเราด้วย อาจเป็นเพราะโดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวกัน” (ฮา)

ฟิล ปาสตอเรต บอกว่า “ถ้าคุณคิดว่าสุนัขนับเลขไม่ได้ ลองใส่บิสกิตสุนัขสามชิ้นไว้ในกระเป๋าของคุณดูสิ แล้วให้ฟิโดเพียงสองชิ้น คุณจะเข้าใจแน่นอน คุณจะเจอหนึ่งในสองดอก ดอกแรก สัตว์เขาจะหลบเข้ามุมไปเช็ดน้ำตา หรือ อีกดอกหนึ่ง เขาจะกระโจนงับคุณ คุณควรสวมกระจับกันไว้บ้างก็จะดี”

สรุปว่า ถ้าสัตว์มันไม่โง่ มนุษย์ก็ฉลาดพอว่าอะไรคืออะไร ถ้าเขาเหล่านั้นยังไม่รู้อีกว่า “อย่าเยอะ!” เราก็ถอยเถอะ เสียเวลาเปล่า
 

คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย... ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4127