บุคคลล้มละลาย... มีสิทธิฟ้องคดีปกครองหรือไม่? เพียงใด?

20 ส.ค. 2566 | 06:28 น.

บุคคลล้มละลาย... มีสิทธิฟ้องคดีปกครองหรือไม่? เพียงใด? : คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง โดย นายปกครอง. หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,915 หน้า 5 วันที่ 20 - 23 สิงหาคม 2566

 

เชื่อว่า... แทบทุกคนคงเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” เพราะคงไม่มีใครอยากจะเป็นหนี้ที่ย่อมมาพร้อมกับดอกเบี้ย แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงค่าครองชีพสูงขึ้นจนเกินกว่ารายได้ของหลายๆ คน จนทำให้หนีไม่พ้นการต้องตกเป็นลูกหนี้ และเกิดวลีปลอบขวัญสร้างกำลังใจให้คนทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ ว่า “หนี้สิน คือ แรงบันดาลใจชั้นยอดในการทำงาน !” ว่าซ่าน...  

 

อย่างไรก็ดี “หนี้” ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ... หากหนี้นั้นมีจำนวนมากจนกลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ถึงขนาดไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้แล้ว บุคคลดังกล่าวก็อาจถูกฟ้องให้ตกเป็นบุคคลล้มละลายได้ และในกรณีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐยังอาจมีผลเกี่ยวพันถึงสถานภาพหรือคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งอีกด้วย 

 

 

ประเด็นชวนคิดในวันนี้ ... เป็นกรณีที่ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และต่อมาได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว บุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิฟ้องคดีปกครองและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลปกครองได้หรือไม่? เพียงใด? นายปกครองมีคำตอบมาไขข้อสงสัยครับ...

 

เรื่องราวของคดีมีอยู่ว่า... นายก อบต. ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นางฉลวย ตำแหน่งหัวหน้าส่วนการคลัง (ข้าราชการส่วนท้องถิ่น) ออกจากราชการตามมติของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล กรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกับปลัด อบต. เบิกจ่ายเงินโดยเขียนเช็คสั่งจ่ายให้กับตนเองและผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานการเบิกจ่าย อันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ  

 

 

บุคคลล้มละลาย... มีสิทธิฟ้องคดีปกครองหรือไม่? เพียงใด?

 

 

นางฉลวยเห็นว่า คำสั่งลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตน เนื่องจากได้มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานส่วนตำบลสังกัด อบต. แห่งอื่นมาเป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากต้นสังกัด อีกทั้งไม่เปิดโอกาสให้ตนได้ใช้สิทธิในการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหา โดยนางฉลวยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อประธานกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัด แต่มิได้มีการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 

 

 

จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 โดยมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการ เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ จากการถูกสอบสวนทางวินัยโดยมิชอบ และจากการที่ไม่ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ

 

คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นว่า ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้ฟ้องคดี (นางฉลวย) เด็ดขาดในวันที่ 13 มิถุนายน 2559 และต่อมาได้มีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลล้มละลายในวันที่ 2 มีนาคม 2560 ศาลปกครองชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดี ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยและยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด

 

เรื่องนี้ ... มีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจดังต่อไปนี้... 

 

(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้” 

 

คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า  ผู้ฟ้องคดีซึ่งถูกศาลล้มละลายมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและตกเป็นบุคคลล้มละลายตามคำพิพากษาของศาลแล้วนั้น จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ตนออกจากราชการและเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่?

 

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องต่อศาลรวม 2 ข้อหา ได้แก่ 

 

ข้อหาที่ 1 กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการของนายก อบต. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งศาลเห็นว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลล้มละลายดังกล่าว มีผลทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจในการบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดี โดยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ได้จำกัดอำนาจของผู้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เฉพาะที่เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยทรัพย์สินเท่านั้น มิได้จำกัดสิทธิในการดำเนินการฟ้องร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการ อันเป็นการขอคืนสถานภาพการเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่เป็นสิทธิส่วนบุคคลโดยแท้ ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการได้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

ส่วนข้อหาที่ 2 กรณีฟ้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ฯ เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญและจากการเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ ถือเป็นการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีภายหลังจากที่ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เมื่อผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีล้มละลายต้องเข้าสู่กระบวนการจัดการทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สิน รวมถึงการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 22 (3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ กรณีถือว่าผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งให้รับคำฟ้องในส่วนที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการไว้พิจารณา และมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนที่ฟ้อง ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ. 101/2565)

 

คำวินิจฉัยข้างต้น ... ศาลได้วางหลักการสำคัญและทำให้ทราบถึงสิทธิการฟ้องคดีปกครองของผู้ที่ศาลล้มละลายมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายว่า เมื่อถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว บุคคลดังกล่าวจะถูกจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองเท่านั้น เนื่องจากกฎหมายล้มละลายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ แต่หากเป็นการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ดังเช่นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ให้ตนพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้น บุคคลที่ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์รวมถึงบุคคลล้มละลายก็ยังมีอำนาจฟ้องคดีปกครอง และสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลปกครองได้ครับ!

 

(ปรึกษาการฟ้องคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355)