KEY
POINTS
ถ้าหากเรามองย้อนกลับไปสัก 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ส่งสัญญาณเตือนให้รับรู้ถึงถึงความอ่อนแอและเหนื่อยล้า ของกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด
หากนับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ที่ประมาณ 6% แต่หลังจากฟื้นตัวจากวิกฤติดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงพบกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 อัตราการขยายตัวของไทยลดลงเหลืออยู่ประมาณ 4-5 % ต่อปี
แต่พอพ้นจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์จนถึงวิกฤติโควิด ในช่วงปี 2553 – 2562 นั้น ไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3.6 % และหลังจากโควิดคือตั้งแต่ปี 2564 - 2567 นั้น อัตราการขยายตัวคาดว่าจะอยู่ประมาณ 2.0 % ซึ่งน่าจะเป็นสัญญานเตือนภัยว่ารูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้มาตลอด 3 ทศศวรรษมีกำลังไม่มากพอที่จะพาเศรษฐกิจของไทยทะยานให้พ้นกับดักรายได้ปานกลางได้
หลายปีแล้วที่ผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชน จนถึงนายกรัฐมนตรีหลายท่านก็ออกมาพูดว่าถ้าไทยต้องการให้ GDP เติบโต 5% ต่อปี ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่ไปไหนแม้ว่าหลายอย่างได้เริ่มและทิ้งร่องรอยไว้ แต่การสานต่ออย่างจริงจังยังเป็นปัญหา จนผมได้เห็นหัวข้อการจัดสัมมนาของ TDRI ประจำปีนี้ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 หัวเรื่องน่าสนใจ “รูปแบบใหม่ในการพัฒนาประเทศ”
และคิดว่าคงแยกเป็นสาขา ๆ ด้วย เพื่อความเข้าใจง่ายและเห็นภาพชัด แต่สำหรับผมทุกเรื่องร้อยต่อกันจนมองเป็นส่วน ๆ ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผมว่าหัวข้อนี้เหมาะสมกับเวลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะในวันนี้เศรษฐกิจของไทยเจอแรงกระทบ ไม่ว่าจะภายในภายนอกนั้นอย่างรุนแรงในรูปแบบที่ไม่ค่อยเจอนัก ซึ่งพร้อมจะสร้างวิกฤติทางเศรษฐกิจใหม่ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ สงครามการค้า และกติกาการค้าระหว่างประเทศที่สุดจะดาดเดา แถมเศรษฐกิจของไทยก็มีประเด็นที่ต้องจัดการอีกมากในการที่จะปรับรูปแบบการพัฒนาประเทศใหม่
ทั้งนี้ ขอสรุปประเด็นต่าง ๆ เพื่อเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์ของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายนั้น ในการมองหาโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ดังนี้
ทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องใหม่ รับรู้กันอยู่แล้ว ในทุกภาคส่วน แต่การลงมือแก้ไข พัฒนา ยังขาดความจริงจังและต่อเนื่องในการดำเนินงาน ซึ่งต้องออกแรงกับการปรับวิสัยและทัศนคติในการเปลี่ยนแปลงของคนดูแลโดยเฉพาะราชการที่อยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่าการเมือง ที่เข้ามาบริหารและออกไป และเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ผลลัพธ์ในระยะสั้น เพื่อคะแนนเสียงทางการเมือง ซึ่งก็ไม่เสียหายหรือผิดอะไร แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การดำเนินงานที่ดีนั้นต้องมีแรงส่งต่อเศรษฐกิจในระยะยาวให้ได้ และต้องถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องในแนวทางวิสัยทัศน์ระยะยาวของข้าราชการประจำ ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำให้เนียน ๆ กับนโยบายของนักการเมืองผู้มาใหม่ ว่าจะจัดการอย่างไร เพื่อทิศทางของการพัฒนานั้นยังเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ในระยะยาวที่จำเป็นของประเทศ
แต่ในระยะสั้นจะตอบสนองทางการเมืองอย่างไร ที่ไม่เสียหายหรือทำให้ประเทศเดินเป๋ไปเป๋มา ผมเชื่อว่าข้าราชการทำได้ ถ้าตั้งใจ และเข้าใจ ในบริบทของเงื่อนไขต่างๆ ได้ดีด้วย แต่ที่แย่ คือที่ผ่านมา หลายหน่วยงานประจำ เป๋ไป เป๋มาซะเอง ทำตัวเองเป็นคนมองผลลัพธ์ในระยะสั้นแบบนักการเมือง
หากมองเป็นรายสาขา ประเทศไทยก็พยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลายด้าน ยกตัวอย่างด้านอุตสาหกรรม ไทยก็มีการกำหนดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S Curve ต่างๆ และรัฐบาลต่อๆ มาก็พยายามเดินตามนั้น แม้จะเปลี่ยนชื่อไปเป็น IgniteThailand ซึ่งผมถือว่าเป็นความเก่งของ Deep State ที่คุมการเมืองให้ แม้จะสร้างวาทะกรรมทางนโยบายเป็นของตนเองได้ แต่ยังเดินในกรอบระยะยาวอยู่ได้ ที่ยังมองไปที่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นเป้า เพียงแต่ว่าระดับความเอาจริงเอาจังและความต่อเนื่องยังเดินช้ากว่าเพื่อน ๆ รอบด้านเรา รวมทั้งการทำงานกับภาคเอกชนนั้นอาจจะต้องเข้มข้นกว่าเดิม เพราะเขาคือ Stakehilders ที่สำคัญสุด
การระดมสมองของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และคนวางนโยบายในครั้งนี้น่าจะช่วยให้เห็นภาพของโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่ผ่านมาในแนวคิดเดิม ๆ ก็มีหลายรูปแบบ Export-led-Growth หรือ Domestic Demand–led-Growth หรือ Innovation-led-Growth หรือ Green Growth หลายแบบ หลายโมเดล แต่ผมว่าวันนี้ อาจต้องเป็น Hybrid ละมั้ง แต่จะผสมผสานกันแบบไหน อย่างไร ก็ต้องสุมหัวกันดี ๆ แต่อย่าลืมออกแบบการผลักดันเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนา ไม่งั้นเพื่อนที่รับผิดชอบทำซื่อ ๆ เฉย ๆ นะ