เอกชนชี้ขยายอายุเกษียณต้องรักษาทุนมนุษย์คู่สร้างโอกาสคนรุ่นใหม่

04 พ.ย. 2568 | 23:11 น.

เอกชนชี้นโยบายขยายอายุเกษียณต้องรักษาทุนมนุษย์ที่มีประสบการณ์ควบคู่การสร้างโอกาสคนรุ่นใหม่ ระบุเป็นสิ่งจำเป็นแต่ต้องบริหารให้สมดุล

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนมองว่าการขยายอายุเกษียณเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในสังคมสูงวัย แต่ต้องสร้างความสมดุล
  • นโยบายต้องให้ความสำคัญกับการรักษาบุคลากรสูงวัยที่มีประสบการณ์ (ทุนมนุษย์) ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เติบโต
  • เสนอแนวทางปฏิบัติ เช่น การประเมินสมรรถนะผู้มีอายุเกิน 60 ปี, การจ้างงานแบบยืดหยุ่น และการพัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill) ให้ทันเทคโนโลยี

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องการขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี ว่า การขยายอายุเกษียณ ถือเป็นประเด็นสำคัญด้านโครงสร้างประชากรของประเทศ เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับตัว อาจเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและบริการมากขึ้น

นอกจากนี้ ปีที่ผ่านมาอัตราเด็กเกิดใหม่มีสัดส่วนน้อยกว่าอัตราผู้เสียชีวิต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน และประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก 

ทั้งนี้ ในมุมของภาคเอกชน มองว่าการขยายอายุเกษียณอาจเป็นสิ่งจำเป็นแต่ต้องบริหารจัดการอย่างสมดุล เพราะแรงงานอาวุโสเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ ความชำนาญ และความรับผิดชอบสูง ยังสามารถสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้อีกหลายปี โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ใช้ความรู้ ความละเอียด และการวิเคราะห์

เอกชนชี้ขยายอายุเกษียณต้องรักษาทุนมนุษย์คู่สร้างโอกาสคนรุ่นใหม่  

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาเรียนรู้และเติบโตในระบบราชการหรือภาคเอกชน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและการแพทย์สมัยใหม่ ช่วยให้คนมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีขึ้น หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ในเอเชีย อย่างประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ ได้มีการขยายอายุเกษียณมาแล้ว 

ขณะที่ประเทศไทยหากจะดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้ ควรมีระบบการตรวจสมรรถนะการทำงาน สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี เพื่อประเมินความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ อาจขยายได้ถึง 65 ปี โดยมีเกณฑ์วัดที่ชัดเจนและเป็นธรรม

ภาคเอกชนหลายองค์กร เริ่มปรับแนวทางการจ้างงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การจ้างผู้สูงวัยในลักษณะพาร์ทไทม์หรือเป็นที่ปรึกษา ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ประสบการณ์ของแรงงานกลุ่มนี้ได้เต็มที่ โดยไม่เพิ่มภาระด้านเงินเดือนหรือโครงสร้างบุคลากร

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ควรทำควบคู่กัน คือ การพัฒนาทักษะของแรงงานสูงวัยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การอบรม Upskill และ Reskill เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“หากรัฐสามารถออกแบบนโยบายการขยายอายุเกษียณโดยคำนึงถึงทั้งสองมิติ คือ การรักษาทุนมนุษย์ที่มีประสบการณ์ และการสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ก็จะช่วยให้โครงสร้างแรงงานของไทยมีความยืดหยุ่น มั่นคง และพร้อมรับสังคมสูงวัยอย่างยั่งยืนในอนาคต”