การยอมรับบุคคลหรือวิธีการการปฏิบัติ ในหลักพุทธศาสนาแบบมหายานนั้น มีแนวคิดที่แตกต่างจากเถรวาทที่ยึดในจารีตประเพณี และคัมภีร์อย่างเคร่งครัด
แม้ว่าพุทธศาสนามหายานจะมิได้เน้นการยึดตามจารีตคัมภีร์อย่างแนบแน่น แต่ก็ใช่ละทิ้งในคัมภีร์นั้นเสียเลย แม้แต่แนวการปฏิบัติของคุรุทั้งหลาย ที่มาเผยแพร่ ก็ต้องมีจุดที่เชื่อมโยง ถึงคำสอนในคัมภีร์ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่จะไม่นิยมนำมาทั้งท่อน แล้วขยายความเป็นอรรถและพยัญชนะแบบเถรวาทเสียเท่าไหร่นัก
นี่เป็นความแตกต่าง จึงทำให้พุทธศาสนามหายาน มีแนวทางปฏิบัติค่อนข้างกว้างและทำให้ กลุ่มคนชาวตะวันตกหันมานิยมศึกษา พอๆ กับพุทธศาสนา เถรวาท
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ปรากฏชัด ทั้งในเถรวาทและมหายาน การพึ่งตนเองในที่นี้มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งทางด้านรูปธรรมและนามธรรม
ในด้านรูปธรรมย่อมเข้าใจกัน การใช้ชีวิตทั้งหลายให้พึ่งตนเอง ในทุกๆ ด้านให้มากที่สุด ส่วนในด้านนามธรรมนั้น ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ
ด้านนามธรรม คือ ความคิดความรู้สึก รวมแล้วเรียกว่าจิต ถ้าเราได้เรียนรู้ การฝึกจิต การฝึกใจของเรา ให้เป็นที่พึ่ง ของเราเองได้ ย่อมจะทำให้เกิดประโยชน์ต่างๆ มากมาย ในการดำรงชีวิต
โรคที่ถูกเรียกชื่อขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าและอื่นๆ ล้วนเป็นโรคที่เกิดจากจิตใจขาดที่พึ่ง ไปยึดไปเกาะ ไปเหนี่ยวเกี่ยวกับสิ่งภายนอก เป็นที่พึ่งมากเกินไป อาทิ ไปยึดบุคคล ไปยึดวัตถุ ไปยึดสถานที่ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามปรารถนา ความคิดความรู้สึก ก็หวนไประลึก วน คิดอยู่แต่เรื่องเหล่านั้น นานวันเข้าก็จมกับอารมณ์ ไม่อยากพูดคุยกับใครอยากอยู่เงียบๆคนเดียว เพื่อวนคิดเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ ไปมา นี่คือโรคซึมเศร้าในปัจจุบัน
แต่ถ้าเรารู้จักนำเอาความคิดความรู้สึก มาพึ่งมาพักอยู่ที่ใจตัวเองได้ ด้วยแนวคิดฝึกให้ใจเป็นที่พึ่งแห่งใจได้ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น ผู้คนที่เป็นซึมเศร้าก็จะจางคลายในความยึดติดได้
แนวทางนี้ข้อแรกที่ต้องฝึกกันคือ ไม่เอาความคิดความรู้สึก ส่งออกไปข้างนอกตามที่ตาหูจมูกกาย ได้เห็นได้สัมผัสมากเกินไป ในช่วงขณะที่ฝึกใหม่ๆ พยายามนำความคิดความรู้สึก กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ลดทอนอาการปรุงแต่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
เมื่อไหร่ที่จิตคือ ความคิดความรู้สึกส่งออกนอกกายไปรู้สึกกับสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน ให้รีบมีสติกลับมาอยู่กับลมหายใจทันที ฝึกบ่อยๆทำซ้ำๆ จิตจะเคยชิน เมื่อนั้นจะทำให้เรารู้สึกเบาขึ้นสบายขึ้นคลายความกังวลได้
เมื่อปฏิบัติขั้นตอนแรกจนเกิดความชำนาญแล้ว จิตกลับมาอยู่กับตัวเป็นปกติได้เองแล้ว ขั้นต่อมาสิ่งที่ปรากฏ ให้สังเกตุตนเองทุกครั้งที่ตื่นนอนครั้นเมื่อตื่นนอนแล้ว ลองเฝ้าสังเกตุความคิดความรู้สึกว่า เกิดความคิดความรู้สึกอะไรไหม แต่โดยมากจะไม่เกิด จะนิ่งๆ สงบๆ ตามธรรมชาติในสภาวะของจิต เพราะโดยเนื้อแท้จิตใจของเราทุกคน มีความนิ่งสงบเป็นพื้นฐานอยู่แล้วแต่ที่เป็นทุกข์เพราะจิตส่งออกนอกตัวไปยึดสิ่งต่างๆ จนทำให้เป็นทุกข์นั้นเอง
ขั้นต่อมา เมื่อเราฝึกชำเลืองจิตตอนตื่นนอนได้ผลลัพธ์เห็นความคิดความสงบของความรู้สึกแล้ว เวลาใช้ชีวิตประจำวัน เราก็พยายามหันมาสังเกตุชำเลืองความคิดความรู้สึกบ่อยๆ การทำบ่อยๆ จะทำให้เห็นวิหารธรรมของจิตเราเองว่าไปพึงอาศัยจิตเองเป็นที่พึ่ง ในช่วงโมงยามระหว่างวัน
ตรงนี้เองที่เรียกว่า ใจเป็นที่พึ่งแห่งใจ เมื่อสามารถทำให้ใจหรือจิตมีที่พึ่งแห่งใจได้แล้ว ก็จะทำให้ความทุกข์น้อยลง เพราะเราส่งจิตออกนอกน้อยลง สนใจเรื่องนอกตัวน้อยลง จึงทำให้เราสงบมากขึ้นนั้นเอง
การฝึกอะไรต่างๆ บนโลกนี้ ไม่สามารถได้มาอย่างรวดเร็วได้ ต่างต้องใช้เวลา ในการฝึกฝน เรียนรู้ ให้เป็นประสบการณ์ทางจิต เกิดขึ้นเองได้ด้วยตัวเอง แล้วเราจะมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
หลวงปู่ดูลย์ อุตตโล ท่านจึงพร่ำสอนอยู่เสมอว่า อย่าส่งจิตออกนอก เพราะเป็นสมุทัย คือ ต้นเหตุแห่งทุกข์
จึงได้กล่าวว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น ทั้งมหายานและเถรวาท มีปรากฏเหมือนกันและหมายถึง การฝึกใจเป็นที่พึ่งแห่งใจ นั่นเอง