Naked Short Selling เรื่องร้อนต้องแก้ไข ก่อนตลาดหุ้นพัง

15 ก.พ. 2567 | 00:25 น.

Naked Short Selling เรื่องร้อนต้องแก้ไข ก่อนตลาดหุ้นพัง บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3966

ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ยํ่าแย่ที่สุดสำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีสิ้นปี 2566 ปิดที่ระดับ 1,415.85 จุด ติดลบถึง 15.15% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเหลือเพียง 53,331 ล้านบาท ลดลงถึง 30.5% จากปีก่อน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิถึง 210,833.50 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ คล้ายกับหลายๆ ตลาดในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจโลกถดถอย การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ สภาพคล่องที่ลดลง รวมถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ

เมื่อปัจจัยต่างเหล่านั้นเริ่มคลี่คลาย ตลาดหุ้นในหลายๆ ประเทศฟื้นตัวขึ้น แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังอยู่ในแดนลบต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่สงสัยว่า มีปัจจัยอื่นเข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมหรือไม่ จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ฟื้นตัวขึ้น เหมือนประเทศอื่นเสียที เรื่องที่พุ่งเป้า ก็คือ การทำ Naked short selling ของนักลงทุนต่างประเทศ

 

ล่าสุดเมื่อ 12 ก.พ. 2567 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังปรับลดลง โดยการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ YTD (Year to Date) -1.88% ถ้ามองในรอบ 1 เดือน -1.71% ในรอบ 3 เดือน และหากย้อนในรอบ 6 เดือน จะติดลบถึง -9.50% เลยทีเดียว

Naked short selling ไม่ใช่เรื่องใหม่ในตลาดหุ้นไทย เพราะในอดีตตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เคยเข้าไปตรวจและลงโทษเคส Naked short มาแล้วไม่ตํ่ากว่า 4 รายคือ 1.บล.เอเชีย เวลท์ ถูกปรับไป 5.85 ล้านบาท 2.บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ถูกปรับไป 1.05 ล้านบาท 3.บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ถูกปรับไป 1.05 ล้านบาท และเคสล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บล.คิงส์ฟอร์ด ถูกปรัับ 1.8 ล้านบาท

การทำ Naked short ในอดีตอาจไม่รุนแรง เพราะเป็นการทำผ่านมาร์เก็ตติ้ง ปริมาณอาจจะไม่มาก เพราะกว่าจะรู้ว่าไม่สามารถนำหุ้นมาส่งมอบได้ก็สิ้นวัน แต่หลังจากมีการเปิดช่องให้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย Program Trading

 

ทั้ง High-Frequency Trading (HFT) และ Robot Trade ทำให้มีการทำ Naked short ระหว่างวันเข้ามาร่วมด้วย เพราะ AI จะสามารถประมวลได้ว่า ต้องส่งมอบหุ้นเท่าไหร่ ก็จะไปไล่ซื้อหุ้นมาปิดได้ ทำให้สัดส่วนการซื้อขายดังกล่าวขึ้นมาอยู่ที่ 50 % ของมูลค่าการซื้อขาย

นักลงทุนกลุ่ม HFT จะชื่นชอบตลาดหุ้นที่มีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ซึ่ง 5-6 ปีก่อน ตลาดหุ้นไทยมีรายย่อยกว่า 70% แต่หลังการเข้ามาของ HFT ทำให้สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยลดเหลือเพียง 40-50% และมูลค่าการซื้อขายก็เริ่มหายไปจากตลาดหุ้น แม้ว่าจะมารับซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคาลง แต่ก็ยังไม่มีจังหวะขายได้ เพราะราคาหุ้นก็ยังถูกดั้มพ์ราคาลงอย่างจต่อเนื่อง

จึงไม่แปลกที่วอลุ่มของรายย่อยในตลาดหุ้นขณะนี้ จะเหลือเพียง 8-9 พันล้านบาทเท่านั้น จากเดิมที่เคยสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นักลงทุนรายย่อยก็คงต้องยอมออกจากตลาดหุ้นไป ขณะที่ HFT หอบกำไรกลับบ้าน