อย่าบริหารน้ำมันแบบตาสีตาสา

16 มิ.ย. 2565 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มิ.ย. 2565 | 11:11 น.

บทความพิเศษโดย : สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

โลกทุกวันนี้มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างมาก คนที่พอมีอะไรจะทำมาหากินได้ก็ปั่นป่วนด้วย ราคาน้ำมันแพง นักธุรกิจน้อยใหญ่ก็ปั่นป่วนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น ทำให้หาเงินกู้ไม่ค่อยจะได้อย่างแต่ก่อน ส่วนชาวบ้านตาดำๆ ที่แทบจะหาอาชีพทำมาหากินไม่ได้ ก็ปั่นป่วนด้วยข้าวของที่จำเป็นขึ้นราคาเป็นรายวันแทบทุกรายการ 

 

แล้วรัฐบาลไทยตอนนี้ปั่นป่วนหรือเปล่า ก็ตอบได้คำเดียวว่าทั้งง่อนแง่นและปั่นป่วน อย่างที่เห็นกันมานานแล้วว่าเสถียรภาพของความเป็นรัฐบาลนั้น สั่นคลอนจนไม่ได้มีเวลาจะคิดอะไรออกมาแล้ว ยิ่งตอนนี้วงการเมืองปริแตกจนเห็นกันชัดเจน ที่นักการเมืองบางท่านกล่าวว่าหากล้วยมาแจกไม่ค่อยจะทันอยู่แล้วมันจะไม่ง่อนแง่นได้อย่างไร

 

จากสงครามการค้าโลก ผ่านโควิด-19 จนถึงวิกฤตน้ำมันโลก

 

ในที่นี้จะไม่พูดเรื่องการเมือง จะขอวิจารณ์ในเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวครับ ปกติแค่เกิดความตึงเครียดหนักๆ อย่างเช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ ประเทศต่างๆ ก็ถูกกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนักหนากันอยู่แล้ว มาปัจจุบันนี้เกิดสงครามจริงๆ ที่ยืดเยื้อ ระหว่างรัสเชียกับยูเครนที่มีกลุ่มนาโต้ที่นำโดยประเทศสหรัฐอเมริกาสนับสนุน ก็ยิ่งเพิ่มผลกระทบด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสงครามด้วยการเล่นเกมส์น้ำมันและก๊าซซึ่งเป็นสินค้าหลักของโลก 

ประเทศไทยนั้นโดนผลกระทบจากภายนอกมาตลอดถึง 4 ปีแล้ว ก่อนโควิด-19 ก็กระทบเต็มๆ จากสงครามการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ได้ก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะการส่งออก 6 เดือนแรกของปี 2562 มีเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นที่เป็นบวก ที่เหลือติดลบทุกเดือน เป็นผลให้ทั้งปี 2562 มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวติดลบ 3.3% และปี 2563 ติดลบหนักขึ้นเป็น 6% 

 

เคราะห์กรรมจากสงครามการค้าโลกยังไม่จางหาย ในปี 2563 ไทยก็โดนถล่มด้วยการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 ที่ได้เริ่มเกิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีนตั้งแต่ปลายปี 2562 ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกทุกด้านหยุดชะงัก ไทยซึ่งพึ่งการท่องเที่ยวเป็นหลักจึงกระอักกว่าชาติใดอื่นถึงสองปีเต็ม คือ ทั้งปี 2563 และปี 2564 ทำให้ GDP ติดลบ 6.1% ในปี 2563 และบวก 1.5% ในปี 2564 รัฐบาลต้องจัดเงินงบประมาณ ซึ่งต้องกู้พิเศษจากการออก พ.ร.ก. ถึง 2 ครั้ง จำนวน 1.5 ล้านล้านบาทไปเยียวยา เพิ่มสวัสดิการคนจน แถมด้วยการจัดเงินอัดใส่ โครงการเราเที่ยวด้วยกันถึง 4 ครั้ง จนกำลังจะเกิดวิกฤตการคลังของประเทศตามมาอีกเรื่อง 

 

ในปี 2565 นี้ ไตรมาสแรกทำท่าว่าการระบาดของโรคร้ายจะหมดไปจริง มีการเตรียมเปิดประเทศอย่างคึกคัก แต่หลังขึ้นปีใหม่ไม่ถึง 2 เดือน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สงครามยูเครนกับรัสเซียก็ปะทุขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยน้ำมันราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเท่าตัว จนกลายเป็นวิกฤตน้ำมันทำให้รัฐบาลตั้งตัวไม่ติดอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ 

ตัวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ หนักก็คือการที่ราคาน้ำมันและก๊าซในขณะนี้ สูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับระยะไม่ถึงปีที่ผ่านมา จนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อออย่างหนักทั่วโลก ส่วนตัวที่ส่งผลกระทบรองลงมา คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตาม จริงๆ แล้วแม้แบงก์ชาติของเรายังไม่ปรับดอกเบี้ยทางการของไทย แต่ในตลาดการเงินขณะนี้ อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินระดับเงินก้อนใหญ่ๆ ก็ได้ถูกปรับสูงตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ของเงินดอลลาร์สหรัฐกันแล้ว แม้ว่าท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาพูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ของไทยจะไม่มีการปรับมากเหมือนการเหยียบเบรกโดยทันที แต่จะค่อยๆ ทำไปเหมือนค่อยๆ ผ่อนคันเร่ง 

 

จะอย่างไรก็ตาม ก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายเข้าใจเถอะว่า ดอกเบี้ยทางการของไทยเราจะอยู่แบบนี้ไปไม่กี่วันหรอก ในที่สุดก็ต้องสะดุดเหมือนการเหยียบเบรคนั่นแหละ ขืนปล่อยให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐถ่างออกมาก เงินทุนสำรองของไทยที่สูงอันดับ 14 ของโลกก็ต้องแฟบลงแน่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าต้องแพงขึ้นเช่นกัน 

 

ใครก็รู้ดีว่า ปัจจัยการผลิตที่จะก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจครบเครื่องทุกด้านนั้น ไม่มีอะไรจะรุนแรงกว่าน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายค่อยๆ ปรับราคาน้ำมัน โดยจะไม่ทำแบบฮวบฮาบ โดยอ้างเหตุผลว่ากองทุนน้ำมันหมดจนติดลบแล้ว และไม่ใช่หมดอย่างเดียวแต่ ณ วันที่ 12 มิถุนายนนี้ ได้ติดลบไปถึง 91,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแถลงข่าวออกมา โดยนายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 

 

ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่า แล้วกองทุนน้ำมันเอาเงินที่ไหนมาจ่ายอุดหนุน ในเมื่อมีข่าวว่าธนาคารพาณิชย์ในประเทศของไทยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินกู้แก่กองทุนน้ำมัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงกองทุนน้ำมันตอนนี้ต้องกู้เอง แต่มีกฎหมายห้ามไม่ให้รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ของกองทุนน้ำมัน ธนาคารต่างๆ จึงไม่ยอมให้กู้ คำตอบที่พอหาได้ตอนนี้ ก็คือมีการขอร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้าน้ำมันช่วยเหลือรัฐบาลหรือก็คือกองทุนน้ำมันแบบลงบัญชีไว้หรือแปะโป้งกันไว้ก่อนนั่นเอง ผมไม่อยากกล่าวคำใดๆ แทนผู้เป็นเจ้าหนี้ที่เป็นเอกชนว่า เขาเข็ดขยาดกับการให้เครดิตแก่รัฐบาลนี้เต็มทีแล้ว สิ่งที่รับปากเรื่องเงินๆ ทองๆ กับภาคเอกชนในช่วง 6 - 7 ปีที่ผ่านมามันมีอาการแห้วให้เห็นหลายเรื่องแล้วครับ 

 

เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลนี้จะแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงด้วยวิธีค่อยๆ ปรับขึ้นราคา แล้วก็เข้าไปให้เงินอุดหนุนแก่การประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคนจนหรือคนชั้นกลาง เช่น จะช่วยอุดหนุนแก่วินมอเตอร์ไซค์ รถประจำทาง และการขนส่งสินค้าบางประเภท เป็นต้น ซึ่งวิธีการแก้ไขแบบนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นการสร้างสาเหตุให้ผู้ประกอบการใช้เป็นข้ออ้างอิงในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้มากครั้งขึ้น เช่นเดียวกับการออกข่าวของภาครัฐที่บอกว่าจะเล็งให้ปรับขึ้นราคาน้ำมันแค่นั้นแค่นี้ ก็จะยิ่งเป็นข้อหนุนนำให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้ากันได้บ่อยครั้งขึ้นเหมือนกัน 

 

การแก้ปัญหาราคาน้ำมันต้องทำอย่างสุดรอบคอบ 

 

อยากจะแนะให้รัฐบาลนี้ไปศึกษาดูการแก้ปัญหาวิกฤตน้ำมันในสมัยรัฐบาลป่าเปรมเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยนั้นรัฐบาลต้องเผชิญทั้งน้ำมันขึ้นราคาและไทยไม่มีเงินตราต่างประเทศมากพอที่จะใช้ชำระค่าน้ำมันนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดท่านก็แก้ปัญหาได้โดยไม่ทำให้ผู้คนเดือดร้อนเหมือนตอนนี้ การตั้งกองทุนน้ำมันไว้เป็นตัวกันผลกระทบต่อประชาชนก็เกิดขึ้นตอนนั้น แล้วมาถึงรัฐบาลนี้จะปล่อยให้แผงกันชนนี้พังพินาศลงไปหรือไง 

 

ถามว่าทำไมรัฐบาลไม่ลองใช้วิสัยทัศน์คิดต่างบ้างหรือ เช่นว่า ณ จุดนี้หรือจุดใดที่เหมาะสม เช่น เอาจุดที่ดีเซลปรับแค่เพดานขณะนี้ลิตรละ 35 บาท และตรึงราคาน้ำมันทุกอย่างตามราคาที่เหมาะสม แล้วประกาศว่าไว้อีก 6 เดือนข้างหน้าค่อยว่ากัน อย่างนี้การขึ้นราคาของสินค้าก็จะหยุดแน่นอน 

 

แต่รัฐบาลที่เป็นงานไม่ควรคิดสั้นๆเพียงแค่นี้ การที่สหรัฐอเมริกาออกหน้าออกตาสนับสนุนสงครามครั้งนี้ เขารู้ดีว่าเขามีแต่ได้อย่างน้อย 3 ประการ คือ ได้ขายพลังงานที่เขามีอยู่มากในราคาแพง ได้ขายอาวุธสงครามที่เขาเป็นผู้ผลิตหลักมากขึ้น และได้ให้กู้เงินดอลลาร์ในราคา (ดอกเบี้ย) ที่สูงขึ้น ซึ่งการขายเงินนี้แปลกกว่าสินค้าอื่น คือ เงินที่ได้ให้กู้ไปแล้วยังสามารถปรับดอกเบี้ยให้สูงตามอัตราใหม่ได้ด้วย สงครามคราวนี้สหรัฐจึงสามารถดูดทรัพยากรจากทั่วโลกเข้าประเทศได้บานเบอะทีเดียว 

 

ดังนั้น การแก้วิกฤตน้ำมันครั้งนี้ คนที่เป็นรัฐบาลจำต้องคิดให้รอบคอบ ประการแรกต้องประเมินให้ได้ว่า ในระยะปานกลาง คือ 5 - 6 ปีต่อจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยควรอยู่ระดับใด ควรเป็น 70 - 80 เหรียญต่อบาร์เรลได้ไหม หากมั่นใจในราคาที่จะเป็นในระยะกลางแล้ว ก็ควรรักษาให้ราคาขายของน้ำมันในประทศได้รับการประคับประคองด้วยกองทุนน้ำมันให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกันตั้งแต่ตอนนี้ อย่าไปเอาสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันมาเป็นตัวตั้ง 

 

ทีนี้ก็ต้องมีคำตอบว่าจะหาเงินจากไหนมาใส่ในกองทุนน้ำมัน คำตอบมีทางเดียวก็คือ กองทุนต้องกู้เงินจากธนาคารในวงเงินที่น่าจะพอ เช่น 120,000 ล้านบาท ก็ไม่มากแค่ประมาณ 3.8 % ของงบประมาณรายจ่ายปีนี้เท่านั้นเอง บริษัท Top 10 ของไทยเขากู้ในวงเงินแค่นี้กันได้สบาย แล้วรัฐบาลจะกู้ไม่ได้หรือ 

 

ถ้าแบงค์เอกชนไมให้ก็กู้จากแบงค์รัฐทั้งหมดมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเป็นการกู้มาเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งประเทศในยามวิกฤต อีกไม่นานเมื่อพ้นวิกฤตก็เริ่มทยอยใช้หนี้คืนได้ ถ้าแบงค์รัฐไม่ยอมเชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ควรเปลี่ยนคณะกรรมการธนาคารทั้งชุดเสียเลย แค่นี้พอจะทำได้ไหมครับ