"ชัชชาติ" ผู้ว่าฯ ของชาวกทม. กับการสลายขั้วการเมือง

24 พ.ค. 2565 | 10:51 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 (อย่างไม่เป็นทางการ) เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ หมายเลข 8 ได้รับเลือกตั้งชนะด้วยคะแนนท้วมท้น ทำสถิติคะแนนสูงสุดนับแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ มา คือได้คะแนนถึง 1,386,215 คะแนน ทิ้งห่างผู้สมัครที่ได้อันดับ 2 คือ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัครอื่นด้วยคะแนนถึงหลักล้านคะแนน ถือเป็นปรากฏการณ์ "ชัชชาติแลนด์สไลด์" ที่มิใช่ "เพื่อไทยแลนด์ไถล" แต่อย่างใด
 

ปรากฏการณ์ทางการเมือง ที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่สำหรับการเมืองท้องถิ่น ที่สะท้อนเจตนารมณ์ประชาชน กทม. บ่งบอกถึงมิติใหม่ทางการเมืองในระดับประเทศได้ด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญ อยู่ที่ใครจะวิเคราะห์และตีความอย่างไร ตามทัศนะและจุดยืน วิธีคิดของแต่ละคน แต่ละฝ่าย 
 

ดังจะเห็นได้ว่า ภายหลังผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาเช่นนี้ บรรดานักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และ ประชาชน คอการเมืองทั้งหลาย ล้วนออกมาประสานเสียงเซ็งแซ่แสดงความคิดเห็น เพื่อโน้มน้าวสังคมให้เห็นและมองคล้อยไปตามที่ตนเองวิเคราะห์ มีทั้งที่โดยสุจริต วางตนเป็นอิสระ เป็นกลาง หรือพวกเอียงเข้าข้างตน ตีขลุมตีกิน จึงอยู่ที่ดุลยพินิจของประชาชน ต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาเอง ด้วยความรอบคอบและมีสติ ไม่หลงกระแส หรือเคลิ้มไปจนเกินจริง


 

ผู้เขียนได้สัมผัสเรื่องราวและเหตุการณ์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มาแล้วทุกครั้งรวมถึงครั้งที่ 11 ที่เพิ่งจะผ่านไป ทั้งได้พบเห็นและผ่านเหตุการณ์ทางการเมือง ทั้งรัฐประหารและการเลือกตั้ง มาตั้งแต่ปี 2518 - ปัจจุบัน จึงขอออกความเห็นและมองปรากฏการณ์ครั้งนี้ในมุมมองของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น ให้ทัศนะแก่ประชาชนและท่านผู้อ่านเพื่อประกอบการพิจารณา ข้อวิเคราะห์ใดว่ามีเหตุผลและควรแก่การรับฟัง เพื่อเราท่านจะได้มีสติใช้วิจารณญาณของตนเอง เลือกอนาคตและตัดสินใจกับการเมือง การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้

 

ปรากฏการณ์ที่ประชาชนเทคะแนนให้คุณชัชชาติ เกิดขึ้นด้วยองค์ประกอบดังนี้

1. เริ่มจากบุคคลิกภาพ ความเป็นตัวตนของนายชัชชาติ เป็นพื้นฐานเบื้องต้น ด้วยความเป็นคนหนุ่ม การศึกษาดี ความรู้ดี เป็นคนทันโลกทันสมัย ชาติตระกูลดี ประวัติการทำงานดี ยังไม่มีเรื่องด่างพร้อยเสียหายในปัจจุบัน(อนาคตไม่แน่นอน)
 

2. ตัดสินใจและประกาศตนอย่างแน่วแน่ ก่อนบุคคลอื่นๆ ที่จะสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.โดยล่วงหน้าถึง 2 ปี มีการเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ศึกษาปัญหากทม.อย่างจริงจัง ลงลึกในทุกปัญหา สร้างมวลชนและทีมงานที่เข้มแข็ง และนำเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้
 

3. สำคัญที่สุดคือ สลัดตนเองออกจากขั้วทางการเมือง ประกาศตนเป็นอิสระจากทักษิณและพรรคเพื่อไทย จะจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับทำให้คน กทม.เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สามัคคีทุกพลังเสียงทุกกลุ่มการเมือง และจากประชาชนทุกกลุ่มวัยได้ หาก คุณชัชชาติ ยังจมปลักกับพรรคเพื่อไทย แนบแน่นกับทักษิณ จะไม่มีคะแนนอย่างที่เห็นแน่นอน

 

4. คุณชัชชาติ สามารถสร้างความเข้าใจ และสามัคคีกับคนทุกฝ่ายได้ด้วยการวางตนจะเป็นผู้ว่าฯ ของคน กทม. โดยไม่สังกัดฝ่ายการเมืองใด และทำจริงโดยสร้างแนวร่วมผู้สนับสนุนจากทุกสีเสื้อ และจากพลังทุกฝ่าย ทั้งเสรีนิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่
 

5. บรรยากาศการเมือง และบริบททางสังคม ประชาชนและคน กทม.เบื่อความขัดแย้ง เบื่อการเมืองแบ่งขั้ว ต้องการผู้ว่าฯ ที่มุ่งมั่นทำงาน เพื่อชีวิตชาว กทม. ที่ดีขึ้นมากกว่าที่จะเห็นการทะเลาะกัน หรือการใช้ กทม.เป็นฐานการเมือง เมื่อคุณชัชชาติ ประกาศเป็นสัญญาประชาคม และคงไม่ตระบัดสัตย์ คน กทม.จึงร่วมใจเทคะแนนให้ คะแนนของคุณชัชชาติ จึงมาจากทุกฝ่าย ทุกสีเสื้อ ด้วยคาดหวังว่าชัชชาติ จะเป็นผู้ว่าฯ ของคน กทม.จริง ที่ต้องการสลายขั้วการเมือง
 

นี่คือเหตุผลโดยรวมสั้นๆ ที่ผู้เขียนเห็นว่า คือ สาระสำคัญ ที่คน กทม.เทคะแนนให้คุณชัชชาติ ส่วนเมื่อเป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้ว จะทำงานและสร้างผลงานได้ตามที่หาเสียงหรือไม่ กรุงเทพฯ จะดีขึ้นหรือไม่ ชีวิตคน กทม.จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ปัญหาสะสม รถติด น้ำท่วม ความไร้ระเบียบ บ้านเมืองที่สกปรก ถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ฝาท่อลึกเต็มถนนจนรถวิ่งแทบเพลาหัก ไฟฟ้าแสงสว่างไม่เพียงพอ และสารพัดปัญหาของเมืองใหญ่ จะได้รับการแก้ไขดีขึ้นหรือไม่ ผลงานเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ถึงวันนั้น ความนิยมสูงสุดของคุณชัชชาติจะเหลือเท่าใด นั่นคือโลกของความเป็นจริง ที่คุณชัชชาติต้องเผชิญและพิสูจน์ตนเอง บรรดากองเชียร์จงอย่าเพิ่งเคลิ้มไปถึงตำแหน่งนายกฯ ก่อนที่จะพิสูจน์ตนเองด้วยผลงาน
 

มีหลายเสียงโดยเฉพาะฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้นที่หนีคุกอยู่ต่างประเทศต่างออกมาวิจารณ์ว่า ผลการเลือกตั้งเช่นนี้ แสดงว่า คน กทม.ไม่เอา 3 ป. ไม่พอใจรัฐบาลลุงตู่ หรือเพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับการรัฐประหารนั้น ล้วนเป็นข้อวิจารณ์หรือการแสดงความคิดเห็นที่มีอคติ ของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่อาศัยปรากฏการณ์ความนิยมของคนอื่น มาตีกินตีความเข้าข้างตนเอง 
 

โดยความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลที่อยู่ในอำนาจต่อเนื่องยาวนนานมา 8 ปี ความเบื่อหน่ายความไม่พอใจของประชาชนย่อมมีโดยพื้นฐานเป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติของการเมือง แม้แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างรัฐบาลทักษิณ เมื่อเข้าสู่สมัยที่ 2 ก็โดนขับไล่เสียแล้ว ไม่ต้องรอถึง 8 ปี รัฐบาลที่อยู่มาได้ 8 ปี ยังไม่ถูกขับไล่โค่นล้ม จึงยังไม่อาจสรุปว่าประชาชนไม่เอา เพียงแต่ประชาชนอาจเบื่อ และเห็นว่าอยู่ในอำนาจนานแล้ว ควรพอและลงจากอำนาจดีกว่า เพื่อเปิดทางให้คนใหม่เข้ามาทำงานต่อเท่านั้น และควรส่งต่อระบอบประชาธิปไตยคืนประชาชน ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ยังไม่อาจตีขลุมว่าประชาชนพอใจหรือไม่เอาใคร
 

ส่วนที่เรียกร้องว่า การปฏิวัติยึดอำนาจ ควรพอเสียทีสำหรับการเมืองไทย ผลเลือกตั้งสื่อความหมายเช่นนั้น น่าจะไม่ถูกต้อง โดยทั่วไปประชาชนไม่ต้องการการปฏิวัติ การยึดอำนาจแต่อย่างใด แต่ถ้ารัฐบาลมาจากเลือกตั้งทุจริตคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นเผด็จการ สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน มีพฤติกรรมชั่ว ไม่จงรักภักดี เหตุการณ์ในอดีตอาจเกิดขึ้นอีกได้ ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองนักการเมือง ได้สร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้กับการเมืองระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ นักการเมือง บริหารบ้านเมืองด้วยความสุจริต ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและประชาชนหรือไม่ เป็นสำคัญ 
 

การที่ประชาชนให้โอกาสรัฐบาลประยุทธ์ อยู่ต่อมาได้ถึง 8 ปี ย่อมเป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้วว่า ประชาชนคิดอย่างไร หรือการที่คุณชัชชาติไม่กล้าลงในสีเสื้อเพื่อไทย ย่อมบ่งบอกให้ทราบอยู่แล้วว่า คน กทม.ไม่เอาพรรคการเมืองใด เพียงแต่หากรัฐบาลจะอยู่ต่อไป อาจเกินกว่าความยินยอมของประชาชนเท่านั้นเอง
 

ปรากฏการณ์ "ชัชชาติแลนด์สไลด์" หากพิเคราะห์อย่างไม่ลำเอียง มีความเที่ยงธรรมในจิตใจ ไม่ใช้อคติมาวิเคราะห์ ย่อมบอกให้ทราบว่า เจตนารมณ์ของคน กทม. หรือความรู้สึกของประชาชนโดยทั่วไปได้ว่า คน กทม.ชอบคนที่เสียสละ มีความตั้งใจสูง มุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกคน ประชาชนต้องการสลายขั้วทางการเมือง ใครก็ได้ที่ยึดเอาประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง นั่นแหละ คือ คนที่ประชาชนต้องการ ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีใดก็ตาม หากหนีจากหลักการนี้ มาแบบไหน ปฏิวัติ หรือ เลือกตั้ง ก็อยู่ไม่ได้ครับ