สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ ขณะนี้ได้เป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมินกันก่อนหน้านี้แล้วว่า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่จะพุ่งขึ้นไปกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน และหลังจากนี้ไปมีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปกว่า 2.5-3 หมื่นรายต่อวันภายในเดือนสิงหาคมนี้ได้
ด้วยเหตุที่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการเข้มข้นพอที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของประชาชนได้ แม้จะเพิ่มพื้นที่ล็อกดาวน์เป็น 29 จังหวัดแล้วก็ตาม และการกระจายวัคซีนเข็ม 1 และเข็ม 2 ฉีดได้ราว 19 ล้านโดสเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชาชนทั้งประเทศ 66 ล้านคน บวกกับความรุนแรงของไวรัสสายพันธ์เดลต้าที่มีความรุนแรงและแพร่ระบาดได้รวดเร็วลุกรามไปทั่วประเทศแล้ว ทำให้มีผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ใหม่ๆ ออกมาเป็นระยะๆ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว ทุกฝ่ายออกมายอมรับถึงผลกระทบที่มีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ส่วนจะกระทบมากน้อยเพียงใดนั้น หลายสำนักยังให้น้ำหนักไปที่เรื่องของการเร่งฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและครอบคลุมประชากรได้มากที่สุด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ควบคู่ไปกับการเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ตรงจุดและทันกับสถานการณ์
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ให้เห็นว่า หากภาครัฐสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนและเอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและรายได้กลับมาขยายตัว โดยประเมินเศรษฐกิจปีนี้ (จีดีพี) น่าจะขยายตัวได้ 0.7% ลดลงจากเดิมที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 1.8 %
ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. คาดการณ์ว่าจีดีพีในปีนี้จะติดลบ 1.5-0% จากการขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ใน 29 จังหวัด ที่มีสัดส่วนถึง 78% ของจีดีพี กระทบต่อรายได้ที่หายไปราว 3-4 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีการมองว่าภาวะเศรษฐกิจไทย อาจจะลงลึกมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการส่งออกไทย อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง หลังจากตลาดส่งออกหลักของไทยอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน เริ่มมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ รวมถึงภาคผลิตส่งออกของไทย ที่เป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้กระจายสู่โรงงานผลิตมากขึ้น
ยังไม่รวมถึงข้อกังวลของทุกฝ่าย ว่า มาตรการล็อกดาวน์ จะขยายเวลาออกไปอีกหรือไม่ หลังสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2564 บวกกับความไม่แน่นอนของการฉีดวัคซีน จะดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ภายในสิ้นปีนี้ที่ 100 ล้านโดส หรือไม่ เพราะขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนมากขึ้น จากการจัดหาวัคซีน ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือวัคซีนไม่มาตามแผน หากยังเป็นเช่นนี้ จะทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนมีความล่าช้า และมีความเสี่ยงสูงที่ต้องจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจ หรือ ล็อกดาวน์ยาวไปถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะกระทบต่อแผนการเปิดประเทศที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี จะตกอยู่ในภาวะที่ฟื้นตัวได้ยาก และเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลัง จะหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีผลทำให้เศรษฐกิจปีนี้ เข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากที่ปีก่อนติดลบไป 6.1 %
ทั้งนี้ ก็หวังว่าเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลที่มีอยู่ ทั้งมาตรการทางการคลัง ที่จะออกเม็ดเงินเยียวยาต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดทอนผลกระทบจากการคุมระบาด จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่ทรุดลงไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็ได้แต่ภาวนา