‘ดาวโจนส์’ ปิดบวก 183.04 จุด หลังหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัวดันตลาด

20 ธ.ค. 2568 | 01:08 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ธ.ค. 2568 | 01:08 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 183.04 จุด หลังหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัวหนุนตลาด ชดเชยแรงข่ยหุ้นกลุ่มสิานค้าอุปโภค และบริโภค

KEY

POINTS

  • ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวสูงขึ้น 183.04 จุด หรือ +0.38%
  • ตลาดได้รับแรงหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การปรับขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีช่วยชดเชยแรงขายในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น หุ้น Nike ที่ปรับตัวลดลง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (19 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งช่วยชดเชยแรงขายในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น หุ้น Nike

  • ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 48,134.89 จุด เพิ่มขึ้น 183.04 จุด หรือ +0.38%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,834.50 จุด เพิ่มขึ้น 59.74 จุด หรือ +0.88% 
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,307.62 จุด เพิ่มขึ้น 301.26 จุด หรือ +1.31%

ทั้งนี้ ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 0.67%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.11% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.48%

ในหุ้น 11 กลุ่มอุตสาหกรรมของ S&P500 มี 7 กลุ่มที่ปิดบวกในวันศุกร์ ส่วนกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ปรับตัวลง 1.34% และ 0.49% ตามลำดับ

หุ้นเมกะแคปปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี หลัง Micron Technology ผู้ผลิตชิป ออกคาดการณ์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจุดกระแสความเชื่อมั่นต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) อีกครั้ง 

หลังจากก่อนหน้านี้เผชิญแรงกดดันจากระดับมูลค่าที่สูงและความกังวลด้านเงินทุน

Micron ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันศุกร์ โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น ขณะที่s6ho Nvidia ปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐฯ เริ่มทบทวนมาตรการส่งออกชิป AI ที่ทรงพลังเป็นอันดับ 2 ของบริษัท

นักวิเคราะห์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า โดยรวมแล้วหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI เผชิญแรงกดดันพอสมควร และเมื่อ Micron รายงานผลประกอบการในวันพุธ และตลาดตอบรับในลักษณะนั้น ก็เกิดแนวคิดว่านักลงทุนอาจกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นเหล่านี้ได้อีกครั้ง

ในบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น หุ้น Nike ร่วงลง หลังบริษัทเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่รายงานอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน จากยอดขายที่อ่อนแอในจีน และความพยายามในการปรับโครงสร้างพอร์ตสินค้า

นักลงทุนได้รับแรงหนุนจากข้อมูลราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือน พ.ย. อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่าตัวเลขดังกล่าวอาจบิดเบือน เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลเป็นเวลา 43 วัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลของเดือนต.ค.ได้

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า เทรดเดอร์ยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ เฟด (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีหน้า พร้อมให้น้ำหนักความเป็นไปได้ 20% ที่การปรับลดครั้งแรกอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนม.ค.

เดือนธันวาคมยังถือเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งตามธรรมเนียมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยนับตั้งแต่ปี 2493 ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Santa Claus rally สะท้อนผ่านดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.3% ในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปี และ 2 วันทำการแรกของเดือนม.ค. ตามข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac