KEY
POINTS
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 500 จุดในวันพุธ (10 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
นอกจากนี้ การแสดงความเห็นของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีหน้า
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติ 9 ต่อ 3 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งติดต่อกัน
โดยเฟดระบุในแถลงการณ์ว่า ก่อนที่จะมีการปรับนโยบายการเงินครั้งต่อไปนั้น เฟดจะจับตาภาวะเศรษฐกิจเพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ โดยเฟดระบุว่าเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นเล็กน้อย
ในรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 ซึ่งสอดคล้องกับการส่งสัญญาณในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2569 เป็น 2.3% จากระดับ 1.8% และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2569 ไว้ที่ระดับ 4.4%
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในการแถลงข่าวว่า นโยบายการเงินของเฟดอยู่ในสถานะที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
นอกจากนี้ พาวเวลกล่าวว่าตลาดแรงงานมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลงอย่างมีนัยสำคัญ และเฟดไม่ต้องการให้นโยบายการเงินฉุดรั้งการสร้างงาน
นักวิเคราะห์จากบริษัท 248 Ventures ในรัฐนอร์ธแคโรไลนากล่าวว่า ตลาดได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกว่า แม้พาวเวลปฏิเสธที่จะส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การที่พาวเวลแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานเช่นนั้นถือเป็นข่าวดีในข่าวร้าย และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีหน้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลงหลังจากพาวเวลแสดงความเห็นดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาด
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 1.84% ตามด้วยหุ้นกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้น 1.77% ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลง 0.1%
หุ้น GE Vernova ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงาน ทะยานขึ้น 15.6% และเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกล่มอุตสาหกรรมในดัชนี S&P500 หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ในปี 2569 ซึ่งส่งสัญญาณถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์โครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)