เอเชียสะสม ‘กองทุนสงครามค่าเงิน’ ทะลุ 8 ล้านล้านดอลลาร์ ชาติใหญ่พร้อมสกัดเงินอ่อน

20 พ.ย. 2568 | 09:00 น.

สำรองเงินตราต่างประเทศเอเชียพุ่งแตะ 8 ล้านล้านดอลลาร์ ชาติมหาอำนาจตั้งหลักป้องกันค่าเงินร่วง แต่เส้นบางๆ ระหว่าง “ปกป้องค่าเงิน” กับ “ถูกสหรัฐฯ จับตาแทรกแซง” กำลังเพิ่มแรงกดดันตลาดเอเชีย

KEY

POINTS

  • ธนาคารกลาง 11 แห่งในเอเชียสะสมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรวมมูลค่าเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เป็นกันชนป้องกันความผันผวนและสกัดการอ่อนค่าของสกุลเงิน
  • แม้จะมีทุนสำรองมหาศาล แต่หลายประเทศ เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ยังคงเผชิญแรงกดดันจนค่าเงินอ่อนค่าลงอย่างหนัก ทำให้ต้องเริ่มใช้มาตรการเข้าแทรกแซง
  • การเข้าแทรกแซงค่าเงินมีความเสี่ยงที่จะสร้างความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ซึ่งจับตาดูประเทศในเอเชียหลายแห่งในฐานะผู้ที่อาจบิดเบือนค่าเงินเพื่อความได้เปรียบทางการค้า

เอเชียกำลังสะสม “กองทุนสงครามค่าเงิน” ขนาดมหึมา หลังทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของ 11 ธนาคารกลางรายใหญ่ในภูมิภาคพุ่งแตะเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ สร้างกันชนสำคัญสำหรับใช้ปกป้องค่าเงินในช่วงที่ตลาดโลกผันผวนหนัก โดยในปีนี้เพียงปีเดียว ธนาคารกลางในภูมิภาคได้เพิ่มเงินสำรองรวมกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ อานิสงส์จากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในช่วง 9 เดือนแรกและราคาทองคำที่พุ่งขึ้น

จีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในเกมสะสมทุนสำรอง โดยเพิ่มขึ้นถึง 141,000 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยญี่ปุ่นที่เพิ่มอีก 116,000 ล้านดอลลาร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยดันมูลค่าสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ให้สูงขึ้น ขณะที่ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นก็ช่วยหนุนมูลค่ารวมของทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเอเชียมี “กระสุน” มากพอในการป้องกันความผันผวนของค่าเงิน โดยสัดส่วนเงินสำรองต่อการนำเข้าของประเทศในภูมิภาคยังอยู่ในระดับที่สบายใจได้ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของตลาดหุ้นโลกและการแข็งค่ากลับของดอลลาร์ตั้งแต่เดือนกันยายนทำให้แรงกดดันต่อค่าเงินในเอเชียกลับมาอีกครั้ง

รูปีอินเดียและเปโซฟิลิปปินส์ต่างทำสถิติอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ขณะที่วอนเกาหลีใต้ร่วงใกล้ระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี บีบให้หลายประเทศต้องเริ่มขยับใช้อาวุธป้องกันค่าเงินอย่างจริงจัง ฝั่งอินเดีย ธนาคารกลางต้องเข้าแทรกแซงทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศเพื่อหยุดเงินรูปีไม่ให้หลุดระดับต่ำสุดเดิมที่ 88.80 รูปีต่อดอลลาร์ ซึ่งได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดียสูงถึง 50% และมีเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น

เกาหลีใต้เองก็เผชิญภาวะคล้ายกัน หลังวอนอ่อนลง 3.2% ในเดือนที่ผ่านมา ทางการพร้อมจับมือผู้เล่นรายใหญ่ รวมถึงกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ เพื่อปกป้องการทรุดตัวของค่าเงิน ส่วนญี่ปุ่นยังคงใช้ “วาจาแทรกแซง” อย่างต่อเนื่อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซัตสึกิ คาตายามะ เพิ่มน้ำหนักคำเตือนหลังเงินเยนอ่อนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน

อย่างไรก็ดี ความพยายามปกป้องค่าเงินอาจพาเอเชียเดินเข้าใกล้ความเสี่ยงใหม่ การปะทะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เชื่อมโยงการแทรกแซงค่าเงินเข้ากับเหตุผลในการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากกรณีไต้หวัน ที่เพิ่งทำข้อตกลงร่วมกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ว่าจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาเอาเปรียบทางการค้า

แม้รายงานล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะไม่ชี้นิ้วกล่าวหาประเทศใดว่าเป็น “ผู้บิดเบือนค่าเงิน” แต่ก็ระบุชื่อจีนว่าขาดความโปร่งใสและจัดกลุ่มประเทศที่ถูกเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และเวียดนาม

นอกจากทุนสำรองมหาศาล ธนาคารกลางในเอเชียยังมีอาวุธเสริมอีกหลายรายการ ตั้งแต่การส่งสัญญาณด้วยคำเตือนสู่สาธารณะตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ไปจนถึงการกระตุ้นให้มีการนำเงินรายได้จากต่างประเทศกลับประเทศอย่างที่มาเลเซียใช้อยู่ ทั้งหมดนี้คือชุดเครื่องมือที่รัฐบาลและธนาคารกลางในเอเชียต้องใช้อย่างระมัดระวัง ท่ามกลางสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการปกป้องค่าเงิน กับ การไม่ให้สหรัฐฯ เข้าใจว่าเป็นการบิดเบือนค่าเงินเพื่อการค้า