การก้าวขึ้นมามีบทบาทเชิงรุกของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในการไกล่เกลี่ยความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา ถูกจับตามองอย่างเข้มข้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะเมื่อหลายฝ่ายมองว่าบทบาทดังกล่าวยากจะหลีกเลี่ยงข้อครหาว่า “ไม่เป็นกลาง” ท่ามกลางเครือข่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในกัมพูชาที่มีทั้งความลึก ความยาว และความซับซ้อน
ในทางการทูต การที่ประเทศประธานอาเซียนจะลุกขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ประสานเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลาม ถือเป็นภารกิจที่ชอบธรรม แต่ในกรณีนี้ ความรวดเร็วในการจัดประชุม การผลักดันข้อตกลงหยุดยิง และการประสานกับมหาอำนาจนอกภูมิภาค ถูกมองว่าเกินกว่ากรอบปกติของบทบาทประธานอาเซียน
คำถามเรื่องความเป็นกลางจึงพุ่งเป้าไปที่ “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” ที่มาเลเซียมีอยู่ในกัมพูชา ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนทั่วไป หากแต่เป็นเครือข่ายผลประโยชน์เชิงโครงสร้างที่ฝังตัวอยู่ในเศรษฐกิจการเมืองของประเทศนี้
ข้อมูลจากสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ระบุว่า โครงการลงทุนจากมาเลเซียที่ได้รับการจดทะเบียนมีมูลค่ารวมกว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากนับมูลค่า FDI สะสมจนถึงปี 2566 อยู่ราว 2.9–3.0 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มาเลเซียติดอันดับนักลงทุนรายใหญ่ของกัมพูชาในกลุ่มประเทศอาเซียน
เงินลงทุนเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการกำกับดูแลของรัฐอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และอุตสาหกรรมเกมและกาสิโน ซึ่งล้วนมีความอ่อนไหวต่อเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง
ภาคการเงินถือเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของทุนมาเลเซียในกัมพูชา ธนาคารมาเลเซียหลายแห่งเข้าไปมีบทบาทผ่านสาขา การถือหุ้น หรือการปล่อยสินเชื่อให้โครงการขนาดใหญ่ อาทิ Maybank ซึ่งเคยมีการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาผ่านบริการลูกค้าธุรกิจและการเงินข้ามพรมแดน รวมถึง CIMB Group ที่มีบทบาทในด้านวาณิชธนกิจและการจัดโครงสร้างทางการเงินสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน
ความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางมาเลเซีย (Bank Negara Malaysia) และธนาคารแห่งชาติกัมพูชา ในด้านระบบชำระเงินและนวัตกรรมทางการเงิน ยิ่งตอกย้ำว่า มาเลเซียไม่ได้มองกัมพูชาเป็นเพียงปลายทางการลงทุน แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายการเงินระดับภูมิภาคที่ต้องเชื่อมต่ออย่างเป็นระบบ
ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทุนมาเลเซียเข้าไปมีบทบาทในโครงการพัฒนาเมือง โรงแรม และรีสอร์ต โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและธุรกิจกาสิโน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากมาเลเซียหลายรายเข้าไปทำโครงการในกรุงพนมเปญ ทั้งในรูปแบบการร่วมทุนและการรับเหมางานก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยความสัมพันธ์กับหน่วยงานรัฐและชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ภาคส่วนที่เป็นหัวใจของเครือข่ายผลประโยชน์มาเลเซียอย่างแท้จริง คืออุตสาหกรรมกาสิโนและรีสอร์ตครบวงจร โดยมี NagaWorld ในกรุงพนมเปญเป็นศูนย์กลาง กาสิโนแห่งนี้ดำเนินการโดย NagaCorp Ltd. บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และก่อตั้งโดยนักธุรกิจชาวมาเลเซีย “เฉิน ลิป เคือง”
NagaWorld ไม่ได้เป็นเพียงกาสิโนทั่วไป แต่เป็นสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกัมพูชามอบสิทธิพิเศษให้ ทั้งใบอนุญาตระยะยาว 70 ปี และสิทธิผูกขาดการดำเนินกาสิโนในกรุงพนมเปญจนถึงปี 2035 มูลค่าการลงทุนรวมของโครงการ NagaWorld ทั้งเฟส 1 เฟส 2 และโครงการขยาย Naga 3 ถูกประเมินว่าสูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นหนึ่งในโครงการเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
นอกจาก NagaWorld แล้ว ทุนมาเลเซียยังเข้าไปมีบทบาทในกาสิโนและธุรกิจบริการในพื้นที่อื่นของกัมพูชา โดยเฉพาะเมืองชายฝั่งสีหนุวิลล์และพื้นที่ชายแดน เช่น บาเวตและไพรแวง ตัวอย่างเช่น WA Hospitality บริษัทจากมาเลเซียที่เข้าไปทำหน้าที่บริหารจัดการ Won Majestic Casino Hotel & Resort ในสีหนุวิลล์ ซึ่งเน้นตลาดลูกค้า VIP และนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในพื้นที่ชายแดน กลุ่มนักลงทุนเอกชนจากมาเลเซียยังเข้าไปซื้อกิจการกาสิโนเดิม เช่น Arunbopea Casino ในจังหวัดไพรแวง ใกล้ชายแดนเวียดนาม โดยมีเป้าหมายปรับปรุงและอัดฉีดเงินทุนเพื่อให้ผ่านเกณฑ์กฎหมายการพนันฉบับใหม่ของกัมพูชา แม้การลงทุนในพื้นที่เหล่านี้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็สะท้อนความพยายามของทุนมาเลเซียในการรักษาพื้นที่ทางธุรกิจในตลาดเกมกัมพูชา
ในมิติการค้า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและกัมพูชายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณการค้าทวิภาคีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ใกล้ระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมาเลเซียเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าอย่างชัดเจน
สินค้าส่งออกหลักของมาเลเซียไปยังกัมพูชาประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น ก๊าซปิโตรเลียม และวัสดุอุตสาหกรรม เช่น ลวดอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญต่อการก่อสร้างและอุตสาหกรรมในกัมพูชา บริษัทพลังงานและปิโตรเคมีจากมาเลเซีย เช่น Petronas มีบทบาทในฐานะผู้จัดหาพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมผ่านเครือข่ายการค้าและคู่ค้าท้องถิ่น แม้ไม่ได้ลงทุนโดยตรงในรูปแบบโครงการขนาดใหญ่ แต่มีบทบาทเชิงโครงสร้างต่อความมั่นคงด้านพลังงานของกัมพูชา
ในทางกลับกัน สินค้าส่งออกของกัมพูชาไปยังมาเลเซียยังคงเป็นสินค้าเกษตรและสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น ข้าว เสื้อผ้า และรองเท้า ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ความไม่สมดุลนี้ทำให้มาเลเซียมีอำนาจต่อรองเชิงเศรษฐกิจเหนือกัมพูชาในระดับหนึ่ง
เมื่อพิจารณารวมกันทั้งการลงทุนโดยตรง การค้า และธุรกิจบริการ ภาพที่ปรากฏชัดคือ กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงประเทศเพื่อนบ้านของมาเลเซีย แต่เป็น “ฐานยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ที่รองรับทุนมาเลเซียในหลายมิติ ตั้งแต่การเงิน พลังงาน การท่องเที่ยว ไปจนถึงกาสิโนผูกขาด
ในบริบทเช่นนี้ ความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความขัดแย้งทางทหารบริเวณชายแดน ย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของมาเลเซียโดยตรง ทั้งในแง่รายได้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า การทูตเชิงรุกของอันวาร์ อิบราฮิม ในกรณีไทย–กัมพูชา เป็นการบริหารความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของมาเลเซียทั้งระบบ มากกว่าการแสดงบทบาทประธานอาเซียนในเชิงอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว