KEY
POINTS
สิ่งที่โลกกำลังเฝ้าติดตามอย่างใจระทึกก็คือการเริ่มไต่สวนคำร้องของ 12 รัฐและสมาคมการค้าของภาคเอกชนสหรัฐฯ ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ในกรณีที่ใช้อำนาจการบริหารประกาศการจัดเก็บภาษีศุลกากรกับทุกประเทศในโลก ส่งผลเสียหายต่อธุรกิจอย่างร้ายแรงและต่อการเพิ่มขึ้นของต้นทุนและราคาสินค้า
ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าตนเองทำตามอำนาจของประธานาธิบดีที่กำหนดให้ใช้อำนาจได้ตามInternational Emergency Economics Power Act เพราะประเทศกำลังมีปัญหาฉุกเฉินทางด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง จากการขาดดุลการค้ากับทั้งโลกปีละกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และการไหลเข้ามาของ “Fentanyl” ที่เป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นจึงต้องรีบออกมาตรการโดยใช้อำนาจทางด้านการบริหารของประธานาธิบดี
ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ Article I Section 8 Clause I ระบุว่าสภาคองเกรสมีอำนาจเรียกเก็บและจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และสรรพสามิต เพื่อชำระหนี้ การป้องกันประเทศ และสวัสดิการทั่วไปของสหรัฐฯ ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทรณ์ จึงตีความว่าประธานาธิบดีทรัมป์จัดเก็บภาษีศุลการกรที่ผ่านมาโดยไม่ได้เริ่มจากสภาคองเกรสนั้นไม่สามารถทำได้
แต่ฝ่ายบริหารก็ยังยืนยันว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เพราะสหรัฐฯ กำลังถูกเอาเปรียบจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนทำให้ขาดดุลการค้าจำนวนมาก ดังนั้น การออกภาษีศุลกากรเป็นการโต้ตอบเพื่อความมั่นคงจึงเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีสามารถทำได้
การตีความของคำเกี่ยวกับความฉุกเฉินทางด้านเศรษฐกิจแบบประธานาธิบดีทรัมป์ เราคงคุ้นๆ คงเป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองทุกคนพยายามตีความทางกฎหมายในทุกเรื่องเพื่อให้ตนเองมีอำนาจและความชอบธรรมในการดำเนินการใด ๆ ที่ตนเองต้องการ
ดังนั้นในวันนี้ที่กำลังมีการเริ่มไต่สวนของศาลสูงในเรื่องนี้ จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นทรัมป์และทีมของเขา ออกมาตีปลาหน้าไซ โดยบลัฟศาลสูงสหรัฐอเมริกาตลอดเวลาว่าหากผลคำตัดสินบอกว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจ ก็อาจจะส่งผลมหาศาลต่อความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งรายได้ที่จะขาดหายไปกว่า 6 แสนล้านเหรียญที่สามารถนำไปใช้ในโครงการต่างๆ เพื่อคนอเมริกัน และที่สำคัญ คือบทบาทอำนาจของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกจะลดลง เพราะทรัมป์บอกว่าภาษีศุลกากรนี้แหละคือเครื่องมือสำคัญที่เขาใช้ในการควบคุมโลกนี้ โดยเฉพาะการก่อให้เกิดสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ที่ผ่านมาเขาสามารถยับยั้งสงครามได้หลายแห่งก็เพราะการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องต่อรอง
เรื่องนี้คุ้นๆ กรณีไทยกับกัมพูชา เหมือนขู่กลาย ๆ ว่าศาลสูงสหรัฐฯ จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด หากคำตัดสินไม่เข้าเป็นคุณกับทรัมป์ เรียกว่าเบิ้ลหรือขู่ก็ได้
โดยส่วนตัวของทรัมป์เองก็ดูเหมือนจะมั่นใจในศาลสูงพอสมควร เพราะที่ผ่านมามีหลายคดีที่ทรัมป์ถูกฟ้อง และแม้ว่าจะแพ้ในศาลชั้นก่อนหน้า แต่ก็ชนะในศาลสูง อาทิ คดีที่ District of Columbia และรัฐแมรี่แลนด์ฟ้องว่าทรัมป์ละเมิดมาตราห้ามรับผลประโยชน์จากรัฐบาลต่างประเทศด้วยธุรกิจโรงแรมของเขาใน DC หรือคดีที่ New York ฟ้องว่าเขาประเมินมูลค่าสินทรัพย์บิดเบือนทำให้จ่ายภาษีน้อย ฯลฯ และจากจำนวนผู้พิพากษาในศาลสูงนี้มีจำนวน 9 ท่าน เป็นของพรรคลีดีโมแครต จำนวน 3 ท่าน และของพรรคพับริกันของทรัมป์ ทั้งหมด 6 ท่าน โดย 3 ใน 6 ท่านนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนแต่งตั้งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
หากมองอีกด้าน ถ้าศาลสูงสหรัฐฯ ตีความว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีอำนาจในการทำเรื่องนี้ได้ตาม Internal Emergency Economics Power Act (IEEPA) ได้แล้ว คงได้เห็นคำสั่งทำเนียบขาวในการทำนโยบายสารพัดที่ตัวเองอยากจะทำ ไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ และก็อ้างความฉุกเฉินทางด้านเศรษฐกิจอีกเพียบ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงการที่ทรัมป์ก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้ ในการออกมาตรการต่างๆ ในทุกเรื่อง กับประเทศที่ตัวเองไม่ชอบหรือต้องการขู่เพื่อประโยชน์บางอย่าง
โดยอ้างความฉุกเฉินทางเศรษฐกิจผ่านอัตราภาษีศุลกากร เห็นตัวอย่างทั้ง แคนนาดา เม็กซิโก ที่ยังงงๆ ว่าทำไมเป็นประเทศตน และยิ่งพันธมิตรอย่างยุโรปก็ไม่รอด และหลายเรื่องก็ถูกกล่าวหาว่าใช้เพื่อผลประโยชน์อื่น ๆ จากการทำธุรกิจของตนเอง พวกพ้อง บริษัททุนการเมือง บังคับให้หลายประเทศเพิ่มการซื้ออาวุธและพลังงานจากสหรัฐฯ โดยอ้างความมั่นคงด้านพลังงานและด้านทหารของสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา หลายคดีศาลสูงมักจะมองอำนาจการบริหารของภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้เหตุผลทางด้านความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งทำให้ครั้งนี้ ทรัมป์ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะชนะ และในขณะเดียวกัน ข้ออ้างของความยุ่งยากของการคืนภาษีให้กับผู้ที่เสียไปแล้วทั้งเป็นคนในประเทศ และต่างประเทศ เป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลานาน
ซึ่งหากประธานธิบดีทรัมป์ชนะงานนี้ มองว่างานต่อไปของเขาก็คือการล้ม Filibuster ในรัฐสภาให้ได้ เพราะกติกานี้เป็นเครื่องมือถ่วงอำนาจของพรรคเสียงข้างมากกับเสียงส่วนน้อยที่เห็นต่างในการออกกฏหมายต่าง ๆ ซึ่งทรัมป์ก็พยายามจะล้มให้ได้ เพื่อตนเองและฝ่ายบริหารจะได้คุมการออกกฏหมายได้สะดวกและรวดเร็ว ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ ก็ไม่ต่างกับเผด็จการทางรัฐสภาของฝ่ายบริหารอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งก็ว่าสิ่งนี้อาจเป็นความอยากของนักการเมืองทุกคนบนโลกใบนี้ก็ได้ พอมีอำนาจและอยากมีแบบเบ็ดเสร็จ ที่ผ่านมาในบ้านเราก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง
ถ้าทรัมป์ชนะ โลกคงต้องรับมือกับมาตรการแปลก ๆ การลดความสำคัญขององค์กรระหว่างประเทศ ไม่ว่า United Nation, World Bank, IMF โดยเฉพาะ WTO คงเป็นง่อยไปแน่ ๆ การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองคงตึงเครียดจากสงครามทุกรูปแบบตั้งแต่เศรษฐกิจ จนถึงสงครามทางทหาร นอกจากนี้ ยังมองว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบห่วงโซ่อุปทานของโลกจะไม่เหมือนเดิม การโยกย้ายสินทรัพย์ การลงทุน ของบริษัทต่าง ๆ คงต้องวางกลยุทธ์ใหม่ และเต็มไปด้วยความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ ฐานการผลิตสินค้าต่าง ๆ อาจโยกย้ายจากที่เราเคยเห็น แนวคิดของ “แบ่งงานการทำ” ใครเก่งอะไร ทำสิ่งนั้น แล้วมาแลกกันภายใต้กรอบการเคลื่อนย้ายสินค้า ทุน และทรัพยากรมนุษย์อย่างเสรี แล้วทุกประเทศจะได้ประโยชน์สูงสุดคงไม่มีเหลือให้เห็นอีก เพราะทรัมป์มอง “America First, and America Only”
อนาคตของโลกแขวนไว้กับคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในเร็ว ๆ นี้